การเลือกกองทุนที่ไม่ควรลงทุนนั้นมีหลายปัจจัยที่ควรพิจารณา ไม่ว่าจะเป็นประวัติการบริหาร, ความเสี่ยง, ค่าใช้จ่ายในการบริหาร,หรือผลการดำเนินงานที่ไม่สม่ำเสมอ
สิ่งที่ต้องพิจารณากองทุน ไม่ควรลงทุนด้วย
1.กองทุนที่มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนในอดีตต่ำ
กองทุนที่มีความเสี่ยงสูงมากแต่ผลตอบแทนในอดีตไม่ดีเท่าที่ควร ความเสี่ยงสูงควรให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่า ถ้าผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนีหรือกองทุนในกลุ่มอื่น ก็ไม่น่าสนใจ
กองทุนที่มีความเสี่ยงสูงแต่ผลตอบแทนในอดีตต่ำ การลงทุนในกองทุนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก, กองทุนที่ลงทุนในตลาดเกิดใหม่ หรือกองทุนที่ใช้กลยุทธ์ซับซ้อน มักมีความคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงเพื่อชดเชยกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากกองทุนเหล่านี้มีผลการดำเนินงานในอดีตที่ต่ำกว่าดัชนีอ้างอิงหรือกองทุนอื่นในประเภทเดียวกันอย่างมีนัยสำคัญและเป็นระยะเวลานาน ก็ควรทบทวนถึงความเหมาะสมในการลงทุน เพราะความเสี่ยงที่สูงนั้นควรได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า มิเช่นนั้นก็ไม่น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อเทียบกับทางเลือกอื่น
2.กองทุนที่มีค่าธรรมเนียมแพงมาก
กองทุนที่มีค่าธรรมเนียมแพงมาก เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่ได้ ต้องพิจารณาว่าค่าธรรมเนียมที่จ่ายไปนั้น คุ้มค่ากับผลงานของกองทุนหรือไม่ บางทีก็ไม่ต่างจากกองทุนค่าธรรมเนียมต่ำ
กองทุนที่มีค่าธรรมเนียมสูงเมื่อเทียบกับผลตอบแทน ค่าธรรมเนียมของกองทุน เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ จะถูกหักออกจากผลตอบแทนของกองทุน ดังนั้นกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมสูงจะต้องสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีพอที่จะคุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมเหล่านั้น
หากกองทุนคิดค่าธรรมเนียมสูง แต่ผลตอบแทนหลังหักค่าธรรมเนียมกลับต่ำกว่ากองทุนอื่นที่มีนโยบายใกล้เคียงกันแต่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า ก็อาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดี ควรพิจารณาเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมและผลตอบแทนอย่างรอบด้านก่อนตัดสินใจลงทุน
3.กองทุนไม่รู้จัก
กองทุนที่ไม่รู้จัก ไม่มีประวัติผลงาน โดยเฉพาะจากบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนขนาดเล็ก การลงทุนในกองทุนใหม่ที่บริหารโดยบลจ.ที่ไม่มีชื่อเสียงหรือประวัติผลงานที่ยาวนานพอ อาจมีความเสี่ยงสูงกว่ากองทุนจากค่ายใหญ่ที่มีประสบการณ์ ผู้จัดการกองทุนอาจยังไม่มีผลงานในอดีตที่จะใช้อ้างอิงถึงความสามารถในการบริหารกองทุน และบลจ.อาจมีข้อจำกัดในเรื่องของทรัพยากรหรือขีดความสามารถในการดำเนินงาน ดังนั้นการลงทุนในกองทุนเหล่านี้จึงอาจมีความเสี่ยงที่สูงกว่า แม้ผลตอบแทนที่คาดหวังอาจสูง แต่ก็ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ ศึกษาข้อมูลผู้จัดการกองทุนและทีมงาน รวมทั้งผลงานในอดีตของบลจ. (หากมี) ประกอบการตัดสินใจ
4.กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนไม่ชัดเจน
กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนไม่ชัดเจน ทำอะไรก็ได้ ควรเข้าใจว่ากองทุนนี้ลงทุนอะไร มีกลยุทธ์อย่างไร วัดผลงานเทียบกับตัวชี้วัดอะไร ถ้าไม่มีก็อาจขาดความโปร่งใส
กองทุนที่มีนโยบายการลงทุนไม่ชัดเจน กองทุนแต่ละประเภทควรมีนโยบายการลงทุนที่ชัดเจนว่าจะลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใด ใช้กลยุทธ์อย่างไร และมีตัวชี้วัดอ้างอิงเพื่อประเมินผลงานอย่างไร หากกองทุนมีนโยบายที่กว้างและยืดหยุ่นมากเกินไป
เช่น สามารถลงทุนได้ในทุกประเภทสินทรัพย์ ทุกกลยุทธ์ ไม่มีการกำหนดสัดส่วนหรือกรอบการลงทุนที่แน่ชัด ก็อาจเป็นการยากต่อการคาดการณ์ผลตอบแทนและความเสี่ยง รวมทั้งอาจขาดความโปร่งใสและยากต่อการเปรียบเทียบผลงานกับกองทุนอื่น
นอกจากนี้หากนโยบายกองทุนเปลี่ยนแปลงบ่อย ก็จะส่งผลต่อความสม่ำเสมอของการบริหารและอาจไม่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว
5.กองทุนที่แสดงผลตอบแทนสวยหรู
กองทุนที่แสดงผลตอบแทนสวยหรู ชวนลงทุนด้วยข้อความโฆษณามากเกินจริง ผลตอบแทนที่ผ่านมาของกองทุน อาจได้มาจากการลงทุนเฉพาะจังหวะ หรือการปรับสัดส่วนพอร์ต ต้องวิเคราะห์ให้ละเอียด อย่าเชื่อคำโฆษณาโดยไม่ไตร่ตรอง
กองทุนที่ใช้คำโฆษณาชวนเชื่อเกินจริงเกี่ยวกับผลตอบแทนในอดีต การนำเสนอผลตอบแทนในอดีตควรทำอย่างสุจริตและเป็นกลาง ไม่ควรเลือกช่วงเวลาที่จะแสดงเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งเพื่อให้ผลตอบแทนดูดี ควรแสดงผลตอบแทนในหลายช่วงเวลาทั้งระยะสั้นและระยะยาว และควรเปรียบเทียบกับตัวชี้วัดที่เหมาะสม
กองทุนที่มุ่งโฆษณาชวนเชื่อด้วยผลตอบแทนเฉพาะช่วงที่สูงโดดเด่นแต่ไม่ได้อธิบายถึงความเสี่ยงหรือเหตุผลที่ผลตอบแทนสูงในช่วงนั้น หรือนำเสนอผลตอบแทนที่ได้มาจากการปรับพอร์ตในช่วงขาขึ้นและขาลงของตลาดโดยไม่คำนึงถึงความสามารถในการทำซ้ำ ก็อาจทำให้นักลงทุนเข้าใจผิดและมองข้ามความเสี่ยงที่แท้จริงของกองทุนได้
กองทุนที่มีค่าธรรมเนียมสูงเกินไป สูงถึง 2.5% ต่อปีหรือมากกว่านั้น
ค่าธรรมเนียมที่สูงจะกินผลตอบแทนไปมาก ทำให้ผลกำไรที่ได้รับน้อยลง ควรเลือกกองทุนที่มีค่าใช้จ่ายต่ำในระยะยาว
ค่าธรรมเนียมของกองทุนแบ่งเป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุน (Total Expense Ratio) ได้แก่ ค่าธรรมเนียมการจัดการ ค่าธรรมเนียมผู้ดูแลผลประโยชน์ ค่าธรรมเนียมนายทะเบียน และค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการอื่นๆ โดยจะคิดเป็น % จากมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ทุกวัน ซึ่งค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะทำให้ผลตอบแทนสุทธิลดลงแม้ว่ากองทุนจะมีกำไรหรือขาดทุนก็ตาม
- ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากผู้ลงทุนโดยตรง เช่น ค่าธรรมเนียมการซื้อ ขาย สับเปลี่ยนหน่วยลงทุน จะเกิดขึ้นทุกครั้งที่ผู้ลงทุนทำธุรกรรม หากมีการซื้อขายบ่อยก็จะเสียค่าธรรมเนียมมาก ทำให้ผลตอบแทนลดลงมากกว่าการถือยาว
ค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ที่สูงถึง 2.5% ต่อปีหรือมากกว่านั้น ถือเป็นอัตราที่สูงมากเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของกองทุนส่วนใหญ่ในตลาด ซึ่งมักจะอยู่ในช่วงประมาณ 1-2% ต่อปี การที่กองทุนเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในอัตราที่สูงเช่นนี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนบางกลุ่ม ดังนี้
- ความเสี่ยงจากผลตอบแทนที่ลดลง: ค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูงจะถูกหักออกจากผลตอบแทนของกองทุนก่อนที่จะคืนกำไรให้แก่ผู้ลงทุน หากกองทุนไม่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงพอที่จะชดเชยกับค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บ ก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนสุทธิที่ผู้ลงทุนได้รับลดลง
- ความเสี่ยงจากการไม่คุ้มค่า: ค่าธรรมเนียมที่สูงควรสะท้อนถึงคุณภาพในการบริหารจัดการที่เหนือกว่า เช่น กลยุทธ์การลงทุนที่ซับซ้อน การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ หรือการบริหารความเสี่ยงที่ดีกว่า แต่หากผลตอบแทนของกองทุนไม่ได้สูงกว่ากองทุนอื่นที่คิดค่าธรรมเนียมต่ำกว่ามากนัก ก็อาจไม่คุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมที่จ่ายไป
- การเพิ่มแรงกดดันให้ผู้จัดการกองทุน: ค่าธรรมเนียมที่สูงอาจสร้างแรงกดดันให้ผู้จัดการกองทุนต้องแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อให้คุ้มค่ากับค่าธรรมเนียม ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงเกินไป หรือการเข้าซื้อขายหลักทรัพย์บ่อยครั้งเพื่อโกยผลกำไรระยะสั้น (Churning) ส่งผลให้เกิดค่าใช้จ่ายและความเสี่ยงของพอร์ตโดยรวมสูงขึ้น
ค่าธรรมเนียมการจัดการในระดับ 2.5% ขึ้นไปอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไปที่ต้องการวางแผนการลงทุนในระยะยาว โดยคาดหวังผลตอบแทนที่สม่ำเสมอในอัตราที่เหมาะสมกับระดับความเสี่ยง นักลงทุนที่มีเป้าหมายผลตอบแทนไม่สูงมาก เช่น วางแผนเพื่อการเกษียณ หรือต้องการสภาพคล่องในระยะปานกลาง ก็ควรพิจารณากองทุนที่มีค่าธรรมเนียมต่ำกว่านี้ นอกจากนี้นักลงทุนที่เพิ่งเริ่มต้นและมีเงินลงทุนจำกัด ก็อาจได้รับผลกระทบจากค่าธรรมเนียมที่สูงมากเป็นพิเศษ เพราะจะทำให้เงินต้นที่นำไปลงทุนลดลงไปมากตั้งแต่แรก
สำหรับนักลงทุนบางกลุ่ม เช่น ผู้ที่มีฐานะการเงินมั่นคงและต้องการแสวงหาผลตอบแทนสูงสุดโดยยอมรับความเสี่ยงได้มาก การลงทุนในกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมสูงแต่มีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าก็อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ โดยเฉพาะหากผู้จัดการกองทุนมีความสามารถและประวัติผลงานที่ดีจริง แต่ควรทำความเข้าใจโครงสร้างค่าธรรมเนียม เปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นอย่างรอบด้าน และติดตามผลตอบแทนเทียบกับความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินความคุ้มค่าในระยะยาว
กองทุนที่มีขนาดเล็กและสภาพคล่องต่ำ
กองทุนขนาดเล็กมักมีสภาพคล่องไม่ดีและอาจปิดตัวได้ง่าย เวลาไถ่ถอนอาจได้เงินคืนช้า ควรเลือกกองทุนที่มีสินทรัพย์มากพอและซื้อขายคล่อง
พิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน ดังนี้
- ความเสี่ยงจากการขาดสภาพคล่อง (Liquidity Risk): กองทุนขนาดเล็กมักมีสภาพคล่องต่ำ เนื่องจากมูลค่าทรัพย์สินและจำนวนผู้ลงทุนมีจำกัด เมื่อนักลงทุนต้องการขายคืนหน่วยลงทุนจำนวนมาก กองทุนอาจไม่มีเงินสดหรือสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ทันที ทำให้การไถ่ถอนเงินอาจล่าช้าหรือไม่ได้ราคาที่ต้องการ โดยเฉพาะในภาวะตลาดผันผวน
- ความเสี่ยงจากการปิดกองทุน: กองทุนขนาดเล็กมักมีค่าใช้จ่ายสูงเมื่อเทียบกับมูลค่าทรัพย์สินรวม หากไม่สามารถระดมทุนเพิ่มได้ ผลตอบแทนไม่คุ้มค่า หรือผู้ถือหน่วยลงทุนทยอยขายคืนจนหน่วยลงทุนลดลงมาก กองทุนอาจถูกเลิกกิจการโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้นักลงทุนไม่สามารถลงทุนต่อเนื่องในระยะยาวได้
- ความเสี่ยงด้านผลตอบแทน: กองทุนขนาดเล็กมักมีความเสี่ยงสูงกว่าในแง่ผลตอบแทน เนื่องจากมีข้อจำกัดในการกระจายการลงทุน การเข้าถึงข้อมูล การต่อรองราคา ส่งผลให้ผันผวนมากกว่า ผลตอบแทนอาจด้อยกว่ากองทุนใหญ่ที่มีต้นทุนต่ำและความได้เปรียบในการลงทุนมากกว่า
- ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการ: กองทุนขนาดเล็กอาจมีข้อจำกัดด้านบุคลากรและระบบงาน ขาดการตรวจสอบถ่วงดุลที่ดีพอ ทำให้มีความเสี่ยงจากความผิดพลาดในการดำเนินงานหรือการทุจริตมากกว่า
ดังนั้น ก่อนลงทุนในกองทุนขนาดเล็ก ควรศึกษานโยบายและกลยุทธ์การลงทุน ชื่อเสียงของบริษัทจัดการ รวมทั้งสัดส่วนสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่าย ติดตามผลการดำเนินงานและการเปลี่ยนแปลงมูลค่าทรัพย์สินอย่างใกล้ชิด และมีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนเล็กอย่างจำกัด เพื่อป้องกันผลกระทบหากกองทุนประสบปัญหา ทางที่ดีควรกระจายการลงทุนไปในกองทุนหลายๆ กองทุน โดยเลือกกองทุนที่มีสินทรัพย์มากพอ มีสภาพคล่องสูง และมีประวัติการบริหารจัดการที่ดี เพื่อลดความเสี่ยงในภาพรวมของพอร์ตการลงทุน
กองทุนที่มีกลยุทธ์การลงทุนไม่ชัดเจน
การลงทุนในกองทุนที่มีกลยุทธ์ไม่ชัดเจนนั้นมีความเสี่ยงสูง และไม่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ โดยมีเหตุผลดังนี้
- ความเสี่ยงที่ประเมินยาก: หากกลยุทธ์ของกองทุนมีความซับซ้อน คลุมเครือ ไม่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ก็จะเป็นการยากที่นักลงทุนจะประเมินความเสี่ยงที่แท้จริงของกองทุนนั้นได้ ทำให้อาจลงทุนโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และรับความเสี่ยงที่สูงเกินกว่าระดับที่ตนเองรับได้โดยไม่รู้ตัว
- ผลตอบแทนที่ผันผวน: กองทุนที่มีกลยุทธ์ซับซ้อนมักมีความผันผวนของผลตอบแทนสูง โดยอาจให้ผลตอบแทนที่ดีมากในบางช่วง แต่ขาดทุนหนักในช่วงอื่น ทำให้ยากต่อการคาดการณ์ผลตอบแทนในระยะยาว และอาจไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความมั่นคงหรือวางแผนใช้เงินในอนาคต
- ขาดความโปร่งใส: ความซับซ้อนของกลยุทธ์อาจถูกใช้เป็นข้ออ้างในการปกปิดความเสี่ยงหรือเบี่ยงเบนความสนใจจากข้อมูลสำคัญ ทำให้นักลงทุนไม่สามารถติดตามและตรวจสอบการตัดสินใจลงทุนของกองทุนได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ
- ค่าธรรมเนียมสูง: โดยทั่วไปกองทุนที่มีความซับซ้อนสูงมักคิดค่าธรรมเนียมที่สูงกว่ากองทุนทั่วไป อ้างว่าเพื่อชดเชยกับต้นทุนในการบริหารและความยากของกลยุทธ์ แต่ค่าธรรมเนียมที่สูงนี้ก็จะกินผลตอบแทนไปมาก ทำให้ผลตอบแทนสุทธิของนักลงทุนลดลง
- เข้าใจยาก ไม่เหมาะกับนักลงทุนทั่วไป: กลยุทธ์การลงทุนที่มีความซับซ้อนสูง มักเหมาะกับนักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนที่มีความรู้ความเข้าใจในตลาดการเงินลึกซึ้งเท่านั้น สำหรับนักลงทุนรายย่อยทั่วไป การลงทุนโดยไม่เข้าใจลักษณะและความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ลงทุนเป็นอย่างดี อาจนำไปสู่การสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมากได้
ตัวอย่างของกองทุนที่มีกลยุทธ์ซับซ้อนที่ควรหลีกเลี่ยง
- กองทุนที่ใช้อนุพันธ์ทางการเงินหลายขั้นตอน เช่น option ซ้อน option, structure note
- กองทุนที่มีการกู้ยืมเงินมาลงทุนเพิ่ม (leverage) ทำให้มีความเสี่ยงสูงขึ้น
- กองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์ใหม่ๆ ที่คนส่วนใหญ่ยังไม่คุ้นเคย เช่น cryptocurrency, NFT
- กองทุนที่ใช้ AI, algorithm หรือเทคนิคการเทรดที่ซับซ้อนโดยไม่เปิดเผยรายละเอียด
- กองทุนที่เปลี่ยนกลยุทธ์บ่อยๆ โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน
กองทุนที่ผลการดำเนินงานไม่ดีอย่างต่อเนื่อง
กองทุนที่มีผลการดำเนินงานต่ำกว่าดัชนีอ้างอิงหรือค่าเฉลี่ยของกลุ่มกองทุนประเภทเดียวกันอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน เช่น 5 ปีขึ้นไป ถือเป็นสัญญาณเตือนที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม เนื่องจากสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาและข้อบกพร่องในการบริหารจัดการกองทุน ซึ่งอาจเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น
- กลยุทธ์การลงทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพ: กลยุทธ์ที่ใช้อาจไม่เหมาะสมกับสภาวะตลาดในขณะนั้น หรือมีจุดอ่อนที่ทำให้ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนเทียบเคียงกับคู่แข่งได้ การที่ผู้จัดการกองทุนยังคงยึดติดกับกลยุทธ์ที่ใช้ไม่ได้ผลโดยไม่ยอมปรับเปลี่ยน จะส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนด้อยกว่ากองทุนอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง
- การคัดเลือกหลักทรัพย์ที่ผิดพลาด: การวิเคราะห์และคัดสรรหลักทรัพย์เพื่อลงทุนเป็นหัวใจสำคัญในการบริหารกองทุน หากผู้จัดการกองทุนมีการประเมินมูลค่าหลักทรัพย์ที่คลาดเคลื่อน เลือกลงทุนในบริษัทที่ไม่มีศักยภาพ หรือไม่สามารถคัดเลือกหุ้นที่มีแนวโน้มโดดเด่นเข้ามาในพอร์ตได้ ก็จะทำให้ผลงานของกองทุนตามหลังคู่แข่ง
- ความสามารถของผู้จัดการกองทุน: หากผู้จัดการกองทุนขาดความรู้ ความเข้าใจในการลงทุน ไม่สามารถอ่านเกมตลาดได้อย่างแม่นยำ หรือมีการตัดสินใจที่ผิดพลาดบ่อยครั้ง ก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลง การที่กองทุนมีผลงานแย่ลงอย่างต่อเนื่องยาวนาน อาจสะท้อนถึงปัญหาด้านความสามารถของผู้บริหารกองทุนเป็นสำคัญ
- โครงสร้างของกองทุน: ข้อจำกัดต่างๆ ในโครงสร้างและนโยบายของกองทุน เช่น การกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่ไม่ยืดหยุ่น การมีค่าใช้จ่ายที่สูง หรือการเน้นกระจายความเสี่ยงมากจนขาดโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่น ล้วนเป็นอุปสรรคสำคัญที่อาจฉุดรั้งศักยภาพในการทำกำไรของกองทุนในระยะยาว
ดังนั้น หากการลงทุนในกองทุนที่มีผลตอบแทนย่ำแย่มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน โอกาสที่กองทุนนั้นจะพลิกผลงานกลับมาได้ดีนั้นเป็นไปได้ยาก เนื่องจากปัญหาพื้นฐานเชิงโครงสร้างที่แก้ไขได้ยาก การมองหากองทุนใหม่ที่มีประวัติผลการดำเนินงานดีกว่าอย่างสม่ำเสมอจะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจในระยะยาว
กองทุนมีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนบ่อยครั้ง
การที่กองทุนมีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนบ่อยครั้งในช่วงระยะเวลาอันสั้น เป็นอีกหนึ่งปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อความสม่ำเสมอของผลการดำเนินงาน ซึ่งเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักลงทุนไม่ควรเข้าลงทุนในกองทุนนี้ ดังนี้
- ขาดความต่อเนื่องในการบริหารจัดการ: การที่ผู้จัดการกองทุนเปลี่ยนแปลงถี่ จะทำให้ขาดความต่อเนื่องในแนวทางและกลยุทธ์การลงทุน เนื่องจากผู้จัดการกองทุนแต่ละท่านมักมีแนวคิดและวิธีการบริหารจัดการเงินลงทุนที่แตกต่างกัน การเปลี่ยนตัวบ่อยๆ จึงทำให้ทิศทางการลงทุนของกองทุนขาดเสถียรภาพ ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนที่สม่ำเสมอได้ในระยะยาว
- ความเสี่ยงในการปรับพอร์ตการลงทุน: เมื่อมีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนใหม่ มักจะมีการทบทวนและปรับเปลี่ยนการจัดสรรเงินลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ใหม่ตามความเห็นของผู้บริหารคนใหม่ ทำให้เกิดความเสี่ยงจากการขายหลักทรัพย์ที่อาจขาดทุนออกไป และมีต้นทุนจากการซื้อหลักทรัพย์ใหม่เข้ามาแทน ส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนลดลงจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
- สัญญาณของปัญหาภายใน: การที่กองทุนต้องเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนบ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการลาออกก่อนครบวาระ อาจสะท้อนถึงปัญหาความขัดแย้งภายในองค์กร ความไม่พอใจของผู้จัดการกองทุนต่อแนวทางการดำเนินงาน หรือข้อจำกัดต่างๆ ที่อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารกองทุนในภาพรวม ซึ่งล้วนเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนไม่อาจมองข้ามได้
- ความเชื่อมั่นของนักลงทุนลดลง: เมื่อนักลงทุนเห็นข่าวการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนบ่อยครั้ง ก็จะเกิดความกังวลต่อความสามารถในการบริหารจัดการและแนวโน้มผลตอบแทนในอนาคต อาจส่งผลให้เกิดการไถ่ถอนเงินลงทุนออกจากกองทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะยิ่งซ้ำเติมให้ผลประกอบการของกองทุนแย่ลงไปอีก รวมถึงอาจกระทบต่อสภาพคล่องในการบริหารกองทุนด้วย
ดังนั้น กองทุนที่มีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนบ่อยครั้งในช่วงเวลาสั้นๆ จึงมีความเสี่ยงสูงกว่าการลงทุนในกองทุนที่มีความมั่นคง มีทีมงานบริหารที่เข้มแข็งและทำงานร่วมกันมานาน สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ การมองหากองทุนที่มีเสถียรภาพมากกว่า จึงจะช่วยลดความผันผวนและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีอย่างยั่งยืนในระยะยาว
ยกตัวอย่าง 5 กองทุนที่ไม่ควรเข้าไปยุ่ง
- กองทุนตราสารหนี้ XYZ – กองทุนนี้มีค่าธรรมเนียมการจัดการสูงถึง 2.5% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกองทุนประเภทเดียวกันมาก
- กองทุนตราสารทุน ABC – กองทุนนี้มีผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนีอ้างอิงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี ซึ่งสะท้อนถึงการบริหารจัดการที่มีปัญหา
- กองทุน Private Equity MNO – กองทุนนี้ไม่เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับบริษัทที่ลงทุน และไม่มีการสื่อสารกลยุทธ์การลงทุนอย่างชัดเจนแก่ผู้ลงทุน
- กองทุนผสม QRS – ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กองทุนนี้มีการเปลี่ยนผู้จัดการกองทุนถึง 4 ครั้ง ส่งผลให้ผลการดำเนินงานขาดความสม่ำเสมอ
- กองทุน Hedge Fund WXY – กองทุนนี้ใช้กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่นการใช้เลเวอเรจในระดับสูง และการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ที่ซับซ้อน ซึ่งอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั่วไป