Swing Trading คืออะไร ทำไมคนเทรด Forex ถึงใช้กันเยอะ

Swing Trading คืออะไร

  • Swing Trading (สวิงเทรด) คือ รูปแบบการเทรดที่ได้รับความนิยมสูงในตลาด Forex โดยมุ่งเน้นการเก็งกำไรจากการแกว่งตัวของราคาในระยะสั้นถึงระยะกลาง
  • อาศัยการวิเคราะห์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาจากกราฟเป็นหลัก โดยดูจากจุดสูงสุด (Swing High) และจุดต่ำสุด (Swing Low) ของการแกว่งตัวในแต่ละรอบ
  • เปิดสถานะไปตามทิศทางของการแกว่งตัวของราคา โดยเปิดสถานะซื้อ (Buy) เมื่อราคามีแนวโน้มแกว่งขึ้น และเปิดสถานะขาย (Sell) เมื่อราคามีแนวโน้มแกว่งลง
  • ใช้เครื่องมือและแนวคิดทางเทคนิคต่างๆ เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจ เช่น แนวรับ (Support), แนวต้าน (Resistance), รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Pattern), Fibonacci Retracement, อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เป็นต้น
  • มีข้อดี คือ สามารถทำกำไรจากการแกว่งตัวระยะสั้นๆ ของราคาได้ดี มีอัตราชนะเทรด (Win Rate) สูงถึง 60-70% และไม่ต้องใช้เวลานั่งหน้าจอนานเหมือน Day Trade
  • มีข้อเสีย คือ มีความเสี่ยงจากการถือสถานะข้ามคืน (Overnight Risk), มีอัตราส่วนกำไรเมื่อเทียบกับความเสี่ยง (Risk to Reward Ratio) ที่ไม่สูงมากนัก เมื่อเทียบกับการเทรดตามแนวโน้มระยะยาว
  • เหมาะสำหรับผู้ที่ถนัดการวิเคราะห์กราฟและชอบการเทรดแบบไม่ต้องใช้เวลานั่งหน้าจอนานเกินไป หากมีความเข้าใจหลักการและบริหารความเสี่ยงได้ดี ก็สามารถใช้ทำกำไรได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ทำไมคนเทรด Forex ถึงใช้กันเยอะ

คนเทรด Forex นิยมใช้ Swing Trade กันเยอะ เนื่องจาก

  • เหมาะกับคนที่มีเวลาจำกัด ไม่สามารถนั่งดูกราฟและเทรดได้ทั้งวัน เพราะการเทรดแบบ Swing ไม่จำเป็นต้องเฝ้าจอ24ชม. สามารถวางแผนเปิดปิดออเดอร์ตามจังหวะของกราฟแล้วปล่อยให้มันวิ่งไปได้เลย
  • การแกว่งตัวของราคาในตลาด Forex มีความชัดเจน และเกิดขึ้นบ่อยครั้ง จึงเอื้อต่อการทำกำไรด้วยวิธีนี้ได้ดี โดยเฉพาะเมื่อตลาดไม่มีทิศทางหรือเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ
  • Swing Trade มีความเสี่ยงที่จำกัดกว่า เพราะไม่ได้เก็งกำไรกับการเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย ทำให้สามารถตั้ง Stop Loss ที่ห่างออกไปได้มากกว่า Day Trade จึงโดนตัดขาดทุนบ่อยน้อยกว่า
  • ใช้เงินทุนในการเทรดแต่ละครั้งต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการเทรดระยะยาว เพราะเป้าหมายกำไรอยู่ที่การทำกำไรทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง จึงเป็นการลดความเสี่ยงจากการขาดทุนมากในครั้งเดียว
  • มีอัตราการชนะสูง โดยเฉพาะเมื่อใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แม่นยำ ก็ยิ่งทำให้ช่วยคัดกรองสัญญาณเทรดได้ดีขึ้น และมีโอกาสกำไรสูงขึ้น
  • สามารถปรับขยายขนาดการเทรดเพิ่มขึ้นได้ หากมีความมั่นใจในสัญญาณนั้นๆ โดยไม่เพิ่มความเสี่ยงมากจนเกินไป เนื่องจากการวางแผน Swing Trade ที่ดีมักจะรอจังหวะที่ชัดเจนอยู่แล้ว
  • เป็นการฝึกอดทนรอคอยและมีวินัยในการเทรด เมื่อถือสถานะข้ามวันโดยไม่ใจร้อนเข้าออกตลาดบ่อยเกินไป ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่สำคัญของนักเทรดที่ประสบความสำเร็จ

ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ จึงทำให้ Swing Trade เป็นหนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความนิยมสูงในหมู่ผู้เทรด Forex โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอจากการเทรด แต่มีข้อจำกัดด้านเวลา หรือยังมีประสบการณ์ไม่มากพอที่จะเทรดแบบ Intraday ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า

อย่างไรก็ตาม การประสบความสำเร็จด้วยการเทรด Swing ก็ยังต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจในการวิเคราะห์กราฟ การบริหารความเสี่ยง และวินัยในการปฏิบัติตามแผนอย่างเคร่งครัด จึงจะสามารถเก็บเกี่ยวผลกำไรจากการแกว่งตัวของราคาได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว

หลักการของ Swing Trade

คือ การเปิดสถานะไปตามทิศทางของการแกว่งตัวของราคา กล่าวคือ เมื่อราคามีแนวโน้มแกว่งขึ้น เราก็จะเปิดสถานะซื้อ (Buy) และเมื่อราคามีแนวโน้มแกว่งลง เราก็จะเปิดสถานะขาย (Sell) โดยจะอ้างอิงจากจุดสูงสุดของการแกว่งตัว (Swing High) และจุดต่ำสุดของการแกว่งตัว (Swing Low) ในแต่ละรอบ

ในการวิเคราะห์กราฟเพื่อหาจุด Swing High และ Swing Low นั้น เราจะต้องอาศัยเครื่องมือและแนวคิดพื้นฐานทางเทคนิคหลายอย่างเข้ามาช่วย เช่น แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีแนวโน้มที่จะเกิดการสะท้อนกลับของราคาเมื่อราคาเคลื่อนที่มาถึง

เมื่อราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงเส้นแนวต้าน ก็มักจะเกิดแรงขายออกมาและกดดันให้ราคาเกิดการย่อตัวลงมา ซึ่งจุดสูงสุดที่ราคาแตะแนวต้านนี้ก็คือ Swing High ในทางกลับกัน เมื่อราคาเคลื่อนที่ลงมาถึงเส้นแนวรับ ก็มักจะเกิดแรงซื้อเข้ามาและผลักดันให้ราคาดีดตัวขึ้น ซึ่งจุดต่ำสุดที่ราคาแตะแนวรับนี้ก็คือ Swing Low นั่นเอง

ดังนั้น Swing Trader จึงมักวางแผนเปิดสถานะ Sell เมื่อราคาขึ้นไปแตะแนวต้านสำคัญ ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะเกิดการย่อตัวลงมาและทำจุด Swing High ณ บริเวณนั้น และในทางกลับกัน ก็มักจะวางแผนเปิดสถานะ Buy เมื่อราคาลงมาแตะแนวรับสำคัญ ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะเกิดการดีดตัวขึ้นและทำจุด Swing Low ณ บริเวณนั้นเช่นกัน

สรุปได้เป็นข้อรายละเอียด ดังนี้

  • การวิเคราะห์ทิศทางการแกว่งตัวของราคา โดยอาศัยการดูแนวโน้มของกราฟในภาพรวม เพื่อให้รู้ว่าควรมองหาสัญญาณในทิศทางไหน ขึ้นหรือลง โดยใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น Trendline, Moving Average ช่วยยืนยันทิศทางของกราฟ
  • การหาจุดเปลี่ยนตัวของราคา (Swing Points) ซึ่งประกอบด้วยจุดสูงสุดของการแกว่งตัว (Swing High) และจุดต่ำสุดของการแกว่งตัว (Swing Low) ในแต่ละรอบ โดยจุดเหล่านี้จะเป็นตำแหน่งสำคัญที่ควรจับตาดูเพื่อหาสัญญาณเปิดเทรด
  • การใช้แนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) เพื่อยืนยันจุด Swing High และ Swing Low โดยแนวรับมักจะเป็นจุดหยุดการร่วงของราคา 
  • ส่วนแนวต้านจะเป็นจุดหยุดการไต่ระดับของราคา ซึ่งเมื่อราคาเคลื่อนมาถึงแนวรับ/แนวต้านสำคัญมักจะเกิดการสะท้อนกลับที่จุด Swing Point
  • การดูสัญญาณจากรูปแบบของแท่งเทียน (Candlestick Pattern) เช่น Hammer, Shooting Star, Engulfing เพื่อใช้เป็นสัญญาณเตือนการกลับตัวของราคา และช่วยในการยืนยันจุด Swing High / Low ให้แม่นยำมากขึ้น
  • การใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น RSI, Stochastic, MACD เพื่อวัดโมเมนตัมของราคา ซึ่งเมื่อเห็นสัญญาณของโมเมนตัมที่อ่อนแอลง ก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนการสิ้นสุดของการแกว่งตัวในรอบนั้น
  • การกำหนดระดับ Stop Loss และ Take Profit ที่เหมาะสม โดยอิงจากจุด Swing โดยทั่วไปจะตั้ง Stop Loss ไว้อีกฝั่งหนึ่งของ Swing Point ล่าสุด และตั้ง Take Profit ตรงจุด Swing ถัดไปในทิศทางของเทรนด์
  • การบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม โดยกำหนดขนาดลอตในการเทรดแต่ละครั้งให้สอดคล้องกับเงินทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และควรเสี่ยงไม่เกิน 1-2% ของเงินทุนต่อออเดอร์
  • การอดทนรอคอยโอกาสที่ดีที่สุด ไม่ใจร้อนเข้าเทรดทุกสัญญาณ แต่ควรเลือกจังหวะที่มีความน่าจะเป็นสูงที่สุดเท่านั้น เพื่อเพิ่มอัตราชนะและลดการเทรดที่ไร้ประสิทธิภาพ

ข้อดี ข้อเสีย ของ Swing Trade

ข้อดี Swing Trade

  • เหมาะกับคนที่มีเวลาจำกัด ไม่จำเป็นต้องเฝ้าจอตลอดเวลา
  • ใช้ประโยชน์จากการแกว่งตัวของราคาที่เกิดขึ้นบ่อยในตลาด Forex
  • มีความเสี่ยงต่อการขาดทุนในแต่ละครั้งที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับ Day Trade
  • ใช้เงินทุนต่อออเดอร์น้อยกว่าการเทรดระยะยาว ช่วยบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น
  • มีอัตราการชนะที่สูง (Win Rate) เมื่อใช้ร่วมกับเทคนิคการวิเคราะห์ราคาที่เหมาะสม
  • สามารถปรับเพิ่มขนาดการเทรดได้หากมีความมั่นใจในสัญญาณ โดยยังควบคุมความเสี่ยงได้
  • ช่วยฝึกให้เทรดเดอร์มีวินัยในการรอคอยโอกาสการเข้าเทรดที่ดีที่สุด

ข้อเสีย Swing Trade

  • มีความเสี่ยงจากการถือสถานะข้ามคืน (Overnight Risk)
  • มีอัตราส่วนของกำไรเมื่อเทียบกับความเสี่ยง (Risk-to-Reward Ratio) ที่ต่ำกว่าการเทรดระยะยาว
  • ต้องอาศัยความอดทนในการรอคอยการเกิดสัญญาณเทรดที่ชัดเจน
  • มีโอกาสพลาดทิศทางการเคลื่อนไหวระยะยาวของตลาด
  • ต้องคอยติดตามข่าวสารและปัจจัยพื้นฐานอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการถือสถานะผิดทิศทาง
  • อาจต้องใช้เวลาในการรอรับกำไรนานกว่าการเทรดระยะสั้น
  • มีความเสี่ยงจากสภาพคล่องที่ลดลงในช่วงตลาดปิดหรือวันหยุด

สรุป

Swing Trading เป็นการเทรดที่ใช้ประโยชน์จากการแกว่งตัวขึ้นลงของราคาในระยะสั้นถึงกลาง โดยมีเป้าหมายที่จะเก็บกำไรจากการแกว่งตัว (Swing) ในแต่ละรอบ ไม่ได้มุ่งหวังผลตอบแทนที่สูงมากในคราวเดียว แต่เน้นทำกำไรทีละน้อยแต่บ่อยครั้ง

โดยเทรดเดอร์จะเข้าซื้อเมื่อราคาอยู่บริเวณจุดต่ำสุดของรอบ (Swing Low) ด้วยความคาดหวังว่าราคาจะดีดตัวขึ้นไปสร้างจุดสูงใหม่ แล้วทำการขายทำกำไรออกมาเมื่อราคาขึ้นไปถึงระดับที่พอใจ ซึ่งมักจะเป็นบริเวณจุดสูงสุดของรอบก่อนหน้า (Swing High)

หรือในทางตรงข้าม หากเทรดเดอร์มองว่าราคากำลังอยู่ในช่วงขาลง เมื่อราคาดีดตัวขึ้นมาถึงบริเวณ Swing High ก็จะเข้าเปิดออเดอร์ขาย (Short) เพื่อรอทำกำไรเมื่อราคาย่อตัวลงมา

โดยทั่วไป Swing Trade มักจะมีอัตราส่วนผลตอบแทนต่อความเสี่ยง (Risk-to-Reward Ratio) อยู่ที่ประมาณ 1:2 หรือ 1:3 ไม่ได้สูงมากนัก เพราะเป้าหมายหลักอยู่ที่การแกว่งตัวระยะสั้น ไม่ใช่การรันเทรนด์ระยะยาว

นอกจากนี้ เทรดเดอร์มักจะใช้เครื่องมือทางเทคนิคต่างๆ เช่น แนวรับ แนวต้าน, เส้นค่าเฉลี่ย (Moving Average), อินดิเคเตอร์วัดโมเมนตัม ฯลฯ เข้ามาช่วยในการวิเคราะห์หาจุด Swing ที่ชัดเจน เพื่อเพิ่มความน่าจะเป็นในการเทรดให้สูงขึ้น