ทำไมต้องเลือกหุ้นลงทุนระยะยาว?
การลงทุนระยะยาว เปรียบเสมือนการปลูกต้นไม้ใหญ่ ที่แม้จะโตช้า แต่จะให้ร่มเงาและผลผลิตที่มั่นคงยั่งยืน ท่ามกลางสายลมแห่งความผันผวนในระยะสั้น ที่พัดพาความไม่แน่นอนจากสภาพเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และปัจจัยต่างๆ มาปะทะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป้าหมายระยะยาวที่สำคัญ อย่างเช่นการวางแผนเพื่อวัยเกษียณ การลงทุนในตลาดหุ้นด้วยมุมมองระยะยาว ก็ยังคงเป็นหนึ่งในเส้นทางที่น่าสนใจ ด้วยเหตุผลสำคัญ 3 ประการ
ข้อที่ 1
- การลงทุนในระยะยาวจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดี จากข้อมูลในช่วง 16 ปีที่ผ่านมา
- หากลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็นระยะเวลา 7 ปีขึ้นไป โอกาสที่จะขาดทุนเท่ากับศูนย์ นั่นแสดงให้เห็นว่า บนเส้นทางระยะยาว ตลาดหุ้นมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเสมอ แม้ในระยะสั้นจะผันผวนไปมา
ข้อที่ 2
- พลังแห่งดอกเบี้ยทบต้น จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ง่ายขึ้น
- ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเงินก้อน 1 ล้านบาทในอนาคต ด้วยผลตอบแทนที่คาดหวัง 8% ต่อปี
- หากมีระยะเวลาลงทุน 7 ปี จะต้องใช้เงินต้นถึง 583,490 บาท แต่ถ้ามีเวลาให้ลงทุนนานขึ้นเป็น 15 ปี เงินต้นที่ต้องใช้จะลดลงเหลือเพียง 315,242 บาท
- เห็นได้ว่ายิ่งให้เวลาการลงทุนมากเท่าใด เงินต้นที่ต้องใช้ก็จะยิ่งน้อยลง ช่วยเพิ่มโอกาสความสำเร็จในการลงทุน
ข้อที่ 3
- การลงทุนระยะยาวในบางรูปแบบ ยังช่วยเรื่องการลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย เช่น การซื้อกองทุน LTF ที่ได้สิทธิ์หักลดหย่อนภาษี หรือการลงทุนผ่านกองทุนเพื่อการเกษียณ เช่น กองทุน RMF หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
- เส้นทางการลงทุนระยะยาว จำเป็นต้องอาศัยการวางแผนที่รัดกุม และวินัยในการลงมือทำอย่างต่อเนื่อง
- โดยต้องคำนึงถึงระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ควบคู่ไปกับผลตอบแทนที่คาดหวัง เพื่อปูทางไปสู่เป้าหมายแห่งความมั่งคั่งที่มั่นคงในอนาคตได้อย่างเป็นรูปธรรมต่อไป
กลยุทธ์และเคล็ดลับในการเลือกหุ้นระยะยาว
- เลือกบริษัทที่มีธุรกิจและโมเดลที่เข้าใจ ควรลงทุนในธุรกิจที่เข้าใจถ่องแท้ว่ากิจการมีรายได้และผลกำไรมาจากไหน ใครเป็นลูกค้า
- เลือกบริษัทที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างต่อเนื่อง การเติบโตของรายได้และกำไรเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะเป็นตัวขับเคลื่อนราคาหุ้นในระยะยาว
- บริษัทที่ดีควรมียอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระยะยาว จากการขยายธุรกิจ ส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น หรือสินค้าและบริการใหม่ๆ
- เลือกบริษัทที่มีทีมบริหารเก่งและซื่อตรง ผู้บริหารที่มีความสามารถและมีวิสัยทัศน์ มักจะนำพาบริษัทให้เติบโตได้ดีในระยะยาว ขณะที่ความซื่อตรงของผู้บริหารก็ช่วยให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีการปั่นตัวเลขหรือฉ้อโกง สามารถดูประวัติผลงานและบุคลิกของผู้บริหารได้จากการสัมภาษณ์ บทความ หรือวิธีการตอบคำถามนักลงทุน
- เลือกธุรกิจทีมีโอกาสเติบโตในระยะยาว นอกจากพิจารณาบริษัทแล้ว ยังต้องดูภาพรวมอุตสาหกรรมในระยะยาวด้วยว่ายังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากแค่ไหน ตลาดมีขนาดเท่าไร มีแนวโน้มถูกทำลายจากเทคโนโลยีหรือไม่ เพื่อเลือกธุรกิจที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่สดใส และหลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่กำลังถดถอย
- เลือกบริษัทที่มีฐานะการเงินแข็งแกร่ง บริษัทที่ดีควรมีหนี้สินในระดับที่ไม่สูงเกินไป มีกระแสเงินสดเข้ามาสม่ำเสมอ มีสินทรัพย์ที่สร้างมูลค่าได้อย่างต่อเนื่อง หากบริษัทมีหนี้มากเกินไปอาจเกิดปัญหาในยามที่ผลประกอบการไม่ดี ขณะที่กระแสเงินสดจะแสดงถึงความสามารถในการทำกำไรที่แท้จริง
- ดูผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น (ROE) และผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ROE และ ROA เป็นตัวชี้วัดความสามารถในการสร้างผลกำไรจากเงินทุนและสินทรัพย์ บริษัทที่ดีควรมี ROE และ ROA สูงและสม่ำเสมอในระยะยาว
- เลือกบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ การจ่ายเงินปันผลสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรและความมั่นคงของกิจการ ยิ่งบริษัทสามารถจ่ายปันผลได้สูงและสม่ำเสมอ ยิ่งแสดงถึงคุณภาพของกำไรที่มี ส่วนหนึ่งของผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว ก็มาจากเงินปันผลที่ได้รับนี้
- ดูอัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) เมื่อเทียบกับตลาดและอุตสาหกรรม หุ้นที่มี P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดและอุตสาหกรรมมาก จะเป็นหุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าพื้นฐาน (Undervalue) และมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว อย่างไรก็ตามต้องพิจารณาด้วยว่า P/E ต่ำเพราะมีปัญหาพื้นฐานของธุรกิจหรือไม่
- ดูอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) P/BV เป็นการดูว่าราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าทางบัญชีหรือสินทรัพย์ของบริษัทเป็นกี่เท่า โดยปกติบริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรสูงและสม่ำเสมอ มักจะมี P/BV สูง ในขณะที่บริษัทที่มีความสามารถในการทำกำไรต่ำ ไม่สม่ำเสมอ จะมี P/BV ค่อนข้างต่ำ
การเลือกหุ้นต่างประเทศสำหรับการลงทุนระยะยาว
เริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการลงทุนใน ETF หุ้นต่างประเทศ
ETF หรือ Exchange Traded Fund คือ กองทุนที่ซื้อขายในตลาดหุ้นเหมือนหุ้นธรรมดา แต่ภายในกองทุนจะถือครองหุ้นจำนวนมากไว้ การซื้อ ETF หุ้นต่างประเทศ จึงเหมือนได้ถือครองหุ้นชั้นนำในต่างประเทศทีเดียวเป็นชุดใหญ่
ข้อดี คือ ช่วยกระจายความเสี่ยงและเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้ง่าย เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ หรือผู้ที่ต้องการลงทุนแบบกระจายในอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น
- SPDR S&P 500 ETF Trust (SPY) – เปรียบเสมือนการถือครองหุ้นชั้นนำ 500 บริษัทในสหรัฐอเมริกา
- iShares MSCI China ETF (MCHI) – สำหรับนักลงทุนที่สนใจโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 2 ของโลก
- Vanguard FTSE Developed Europe ETF (VEA) – สะท้อนโอกาสการลงทุนในหุ้นของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วในยุโรป
คัดสรรหุ้นคุณภาพ มีปัจจัยพื้นฐานแกร่ง
หากต้องการเลือกหุ้นเอง ควรพิจารณาปัจจัยพื้นฐานอย่างถี่ถ้วน ทั้งงบการเงิน ผลประกอบการ ความสามารถของทีมบริหาร แผนธุรกิจระยะยาว ซึ่งเครื่องมือวิเคราะห์นั้นมีตั้งแต่เว็บบริษัทจดทะเบียน เว็บไซต์การเงิน ไปจนถึงโปรแกรมวิเคราะห์หุ้นเฉพาะทาง ตัวอย่างหุ้นดีมีพื้นฐานแข็งแกร่ง เช่น
- Apple (AAPL)
- Microsoft (MSFT)
- Amazon (AMZN)
- Alibaba (BABA)
- Tencent (TCEHY) ฯลฯ
อย่าทุ่มหมดตัวในประเทศเดียว กระจายลงทุนในหลายภูมิภาค
เมื่อลงทุนต่างแดน ต้องเตรียมรับมือกับความผันผวนที่มาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งภัยธรรมชาติ วิกฤตการเงิน ความขัดแย้งทางการเมือง ดังนั้นการกระจายลงทุนในหลายประเทศจึงช่วยลดความเสี่ยงลงได้ หากตลาดหนึ่งดิ่ง อีกตลาดอาจยังทรงตัวหรือเติบโตสวนทางกัน
ลงทุนแบบเน้นระยะยาว อย่าใจร้อนกับความผันผวน
- ตลาดหุ้นต่างประเทศมักผันผวนสูงในระยะสั้น แต่มีแนวโน้มให้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว ขณะเดียวกันยังช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนลงด้วย
- การมองการลงทุนเป็นการวางแผนระยะยาว ยังให้เวลาศึกษาตลาดได้อย่างถ่องแท้ เพื่อตัดสินใจอย่างรอบคอบ ไม่ใจร้อนเกินไป
อย่าหยุดเรียนรู้ ติดอาวุธทางปัญญา ก่อนออกรบ
- โลกการลงทุนนั้นกว้างใหญ่และเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การศึกษาหาความรู้เรื่องตลาดทุนต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
- จึงเป็นอาวุธสำคัญที่นักลงทุนพึงมี ทั้งเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมที่น่าสนใจ กลยุทธ์การลงทุน และที่ขาดไม่ได้คือเรื่องความเสี่ยงที่อาจมาในรูปแบบต่างๆ เพื่อเตรียมแผนรับมือ
ตัวอย่างหุ้น สำหรับการลงทุนระยะยาว
สำหรับนักลงทุนที่มองหาหุ้นคุณภาพ เพื่อการลงทุนระยะยาวแล้ว ซึ่งล้วนเป็นบริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมของตัวเอง มีโอกาสเติบโตสดใส และมีรากฐานแข็งแกร่งที่จะยืนหยัดในระยะยาวได้อย่างสง่างาม
CPALL
- ผู้นำธุรกิจร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ในไทย ด้วยจำนวนสาขามากกว่า 12,000 สาขา และยังขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆ
- ธุรกิจตัวแทนรับชำระเงิน การผลิตอาหารและเบเกอรี ทำให้มีฐานรายได้ที่หลากหลายและมีเสถียรภาพ เมื่อผนวกกับการบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ จึงมีความสามารถในการทำกำไรสูงอย่างต่อเนื่อง
EA
- ผู้ผลิตพลังงานสะอาดและผู้นำด้านธุรกิจแบตเตอรี่ชั้นนำของไทย ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมากตามกระแสโลกที่หันมาใช้พลังงานหมุนเวียนและยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น EA วางตำแหน่งตัวเองได้อย่างชาญฉลาด
- ด้วยการครอบคลุมธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตั้งแต่ผลิตไบโอดีเซล ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ผลิตแบตเตอรี่ ไปจนถึงธุรกิจสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า
BDMS
- เจ้าตลาดโรงพยาบาลเอกชนรายใหญ่ที่สุดในไทย มีเครือข่ายโรงพยาบาลครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งระดับไฮเอนด์และระดับกลาง พร้อมบริการครบวงจร
- ด้วยอุปสงค์ด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นตามการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ประกอบกับการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ที่เติบโตสูง ทำให้ BDMS มีแนวโน้มเติบโตได้ดี สอดรับกับการขยายเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง และการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากธุรกิจที่มีมาร์จิ้นสูง
ADVANC
- ผู้นำตลาดมือถือเบอร์ 1 ของไทย ที่ครองส่วนแบ่งการตลาดกว่า 45% ปัจจุบันอยู่ในช่วงของการลงทุนขยายโครงข่าย 5G ซึ่งจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศในอนาคต
- แม้ในระยะสั้นอาจกดดันกำไรบ้าง แต่ในระยะยาว การลงทุนนี้จะเป็นการวางรากฐานให้ ADVANC รักษาความเป็นผู้นำและเติบโตได้อย่างยั่งยืน
- รวมถึงมีโอกาสในการสร้างรายได้จากบริการดิจิทัลเพิ่มเติมในอนาคตอีกด้วย
KBANK
- หนึ่งในแบงก์ใหญ่ที่เป็นผู้นำด้านดิจิทัลแบงก์กิ้ง ด้วยความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากร ที่ผลักดันให้ KBANK สามารถออกผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และรุกขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่
- รวมถึงลูกค้าในภูมิภาคอาเซียน อีกทั้งยังมีการตั้งสำรองที่รัดกุม ทำให้สามารถรองรับความเสี่ยงในยามวิกฤตได้ดี