การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา
การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคา หรือที่เรียกว่า Price Action เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่นักลงทุนนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพื่อพยายามคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต โดยอาศัยการสังเกตและการแปลความหมายจากพฤติกรรมของราคาในอดีตที่ผ่านมา
แนวคิดหลักของ Price Action คือ การสะท้อนให้เห็นถึงการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขายในตลาด ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เมื่อแรงซื้อมีมากกว่าแรงขาย ราคาก็จะค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่อใดที่แรงขายเริ่มเข้ามาเอาชนะแรงซื้อ ราคาก็จะเริ่มเปลี่ยนทิศทางและปรับตัวลงตามแรงขายที่มากขึ้น นั่นหมายความว่า การเคลื่อนไหวของราคามักจะเป็นไปตามแนวโน้ม (Trend) เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต้องจับตามองและติดตามอย่างใกล้ชิด
ในการวิเคราะห์ด้วย Price Action นั้น เราจะใช้กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เป็นเครื่องมือหลัก เพราะมันสามารถบอกเรื่องราวและแสดงให้เห็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายซื้อและฝ่ายขายได้เป็นอย่างดี
โดยราคาจะถูกแสดงออกมาในรูปแบบของแท่งเทียนแต่ละแท่งที่มีลักษณะแตกต่างกันไป เช่น
- แท่งเทียนสีเขียว แสดงว่าเป็นวันที่ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด นั่นคือ มีแรงซื้อเข้ามาอย่างหนักในวันนั้นจนสามารถผลักดันราคาปิดให้สูงขึ้นกว่าราคาเปิด แนวโน้มขาขึ้นจึงยังคงดำเนินต่อไป
- ส่วนแท่งเทียนสีแดงนั้นก็ตรงกันข้าม คือมันแสดงถึงแรงขายที่เข้ามาในวันนั้นมากกว่าแรงซื้อ ราคาปิดจึงต่ำกว่าราคาเปิด และอาจเป็นการส่งสัญญาณว่าแนวโน้มของราคากำลังจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง
นอกจากแท่งเทียนธรรมดาแล้ว ยังมีรูปแบบแท่งเทียนแปลกๆ ที่เป็นสัญญาณบอกอีกหลายชนิด เช่น แท่ง Inside Bar, แท่ง Pin Bar ฯลฯ ซึ่งล้วนมีความหมายในการคาดเดาทิศทางของราคาแตกต่างกันออกไป
สิ่งที่ทำให้ Price Action เป็นที่นิยมคือ มันเป็นการวิเคราะห์ที่เรียบง่าย ตรงไปตรงมา ไม่ต้องใช้ข้อมูลหรือสูตรที่ซับซ้อน แค่ใช้กราฟราคาเพียงอย่างเดียวก็สามารถแปลความหมายและตัดสินใจลงทุนได้แล้ว การวิเคราะห์แบบนี้จึงทำได้รวดเร็ว ทันต่อเหตุการณ์ในตลาด ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักเทรดที่ต้องเข้าและออกจากตลาดอยู่ตลอดเวลา
Price Action คืออะไร
Price Action คือ การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในอดีตเพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต โดยมีหลักการและรายละเอียดดังนี้
- ใช้พฤติกรรมของราคาในอดีตที่สะท้อนการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขาย เพื่อคาดการณ์แนวโน้มราคาและรูปแบบที่จะเกิดขึ้น ด้วยความเชื่อว่าตลาดมีการเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม (Trend)
- เมื่อแรงซื้อเอาชนะแรงขาย ราคาจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น แต่เมื่อถึงจุดที่แรงซื้ออ่อนกำลังลงและถูกแรงขายเอาชนะ ตลาดก็จะเปลี่ยนทิศกลับเป็นแนวโน้มขาลง
- Price Action มักใช้กราฟราคาเป็นเครื่องมือหลักในการวิเคราะห์ โดยเฉพาะ Candlestick Charts หรือ Pin Bars ซึ่งช่วยให้เห็นทิศทางการต่อสู้ระหว่างแรงซื้อและแรงขายได้ชัดเจน
- รูปแบบต่างๆ ของกราฟแท่งเทียนมีนัยสำคัญ เช่น
- Inside Bar: ราคาของแท่งถัดไปเคลื่อนไหวไม่เกินกรอบของแท่งก่อนหน้า บ่งชี้ถึงโอกาสเกิด Breakout ทั้งในรูปแบบ Bullish และ Bearish
-
- Outside Bar: ราคาของแท่งสุดท้ายหลุดออกนอกกรอบของแท่งก่อนหน้า ซึ่งสามารถใช้เป็นสัญญาณชี้ทิศทางของแนวโน้มถัดไป
-
- Up Bar: เกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มขาขึ้น มีจุด High และ Low สูงกว่าแท่งก่อนหน้า มักเป็นแท่งสีเขียว แต่อาจพบแท่งสีแดงที่มี High-Low สูงกว่าแท่งก่อนหน้าได้เช่นกัน
-
- Down Bar: เกิดขึ้นในช่วงขาลง มีจุด High และ Low ต่ำกว่าแท่งก่อนหน้า มักเป็นแท่งสีแดง แต่อาจพบแท่งสีเขียวที่มี High-Low ต่ำกว่าแท่งก่อนหน้าได้
-
- Bullish Pin Bar: มีไส้เทียนยาวด้านล่าง แสดงถึงแรงขายในช่วงแรกแต่ถูกแรงซื้อดึงกลับมา
-
- Bearish Pin Bar: มีไส้เทียนยาวด้านบน แสดงถึงแรงซื้อในช่วงแรก แต่ในท้ายที่สุดถูกแรงขายกดลงมา
- แท่งเทียนสีเขียว (ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด) แสดงถึงแรงซื้อที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะถ้าไม่มีไส้เทียนด้านบนแสดงว่าแรงซื้อสามารถเอาชนะแรงขายได้สมบูรณ์ ราคามักปรับตัวขึ้นต่อในแท่งถัดไป
- แท่งเทียนสีดำ/แดง (ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด) แสดงถึงแรงขายที่รุนแรง โดยเฉพาะเมื่อไม่มีไส้เทียนด้านล่างแสดงว่าแรงขายเอาชนะแรงซื้อได้สมบูรณ์ ราคามักปรับตัวลงต่อในแท่งถัดไป
- Price Action เป็นวิธีวิเคราะห์ที่เรียบง่าย ใช้ข้อมูลน้อย ลดการรบกวนจากปัจจัยอื่น ทำให้ตัดสินใจได้รวดเร็วทันต่อสถานการณ์ เป็นเครื่องมือเทคนิคที่ให้สัญญาณได้เร็ว จึงได้รับความนิยมในปัจจุบัน
การดู Price Action
สามารถทำได้โดยการวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) ซึ่งสะท้อนกิจกรรมการซื้อขายระหว่างผู้ซื้อ (Buyer) และผู้ขาย (Seller) โดยมีรายละเอียดดังนี้
- กราฟแท่งเทียน 1 แท่ง ประกอบด้วยจุดสำคัญ 4 จุด ได้แก่
- Open: ราคาเปิด
- Close: ราคาปิด
- High: ราคาสูงสุดที่ทำได้ในช่วงเวลานั้น
- Low: ราคาต่ำสุดที่ทำได้ในช่วงเวลานั้น
- แท่งเทียนแต่ละแท่งสามารถบ่งบอกพฤติกรรมของผู้เทรดในตลาดได้ โดยสมมติให้แท่งเทียน 1 แท่ง แสดงข้อมูลการซื้อขายในรอบ 1 วัน (Daily Chart)
- Seller Candle หรือแท่งเทียนสีดำ/แดง หมายถึง ผู้ขาย (Seller) เป็นฝ่ายชนะในวันนั้น โดยราคาปิด (Close) จะอยู่ต่ำกว่าราคาเปิด (Open) แสดงว่ามีแรงขายเข้ามาในตลาดมากกว่าแรงซื้อ
- Buyer Candle หรือแท่งเทียนสีขาว/เขียว หมายถึง ผู้ซื้อ (Buyer) เป็นฝ่ายชนะในวันนั้น โดยราคาปิด (Close) จะอยู่สูงกว่าราคาเปิด (Open) แสดงว่ามีแรงซื้อเข้ามาในตลาดมากกว่าแรงขาย
- จุด High และ Low บนแท่งเทียน บ่งบอกถึงระดับราคาสูงสุดและต่ำสุดที่เกิดขึ้นในวันนั้น ซึ่งสะท้อนความผันผวนของราคาในช่วงเวลาดังกล่าว
- การวิเคราะห์ด้วย Price Action จะพิจารณาจากรูปแบบของแท่งเทียนในแต่ละวัน เพื่อคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต เช่น แท่งเทียนที่มีขนาดยาว ไส้เทียนสั้น บ่งชี้ถึงความต้องการซื้อหรือขายที่รุนแรง เป็นต้น
- นอกจากนี้ ยังมีรูปแบบ Price Action พิเศษที่มีนัยสำคัญต่อการวิเคราะห์ เช่น Pin Bar, Inside Bar, Outside Bar ซึ่งจะกล่าวถึงในหัวข้อถัดไป
การดู Price Action คือ การวิเคราะห์กราฟแท่งเทียน ซึ่งให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด ณ ช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ผ่านตำแหน่งของจุด Open, Close, High, Low บนแท่งเทียนแต่ละแท่ง ทำให้สามารถคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคตได้
กลยุทธ์การใช้ Price Action ในการเทรด Forex
สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ Breakout และ Candlestick ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
Breakout
- เป็นกลยุทธ์ที่ใช้เทรดเมื่อราคาสามารถผ่านแนวรับหรือแนวต้านสำคัญได้ แสดงถึงโอกาสที่ราคาจะเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางนั้น
- เทรดเดอร์สามารถเทรดตามทิศทางของการ Breakout โดยเปิดสถานะไปในทิศทางเดียวกับการผ่านแนวรับหรือแนวต้าน
- ควรพิจารณาปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ปริมาณการซื้อขาย (Volume) หรือสัญญาณทางเทคนิคอื่นๆ เพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือของสัญญาณ Breakout
- กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ชอบเทรดตามทิศทางของตลาด (Trend Following) และมักใช้ในการเทรดกราฟระยะยาว เช่น กราฟรายวัน หรือกราฟรายสัปดาห์
Candlestick
- เป็นกลยุทธ์ที่อาศัยการวิเคราะห์รูปแบบของแท่งเทียนในกราฟ เพื่อคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต
- เทรดเดอร์ต้องศึกษารูปแบบต่างๆ ของแท่งเทียน เช่น Hammer, Shooting Star, Engulfing Pattern เป็นต้น ซึ่งแต่ละรูปแบบจะให้สัญญาณซื้อหรือขายที่แตกต่างกัน
- นอกจากรูปแบบของแท่งเทียนแล้ว เทรดเดอร์ยังต้องพิจารณาบริเวณแนวรับและแนวต้านสำคัญ เพื่อใช้เป็นจุดอ้างอิงในการเปิดหรือปิดสถานะ
- กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ชอบเทรดในช่วงตลาดไม่มีทิศทางชัดเจน (Ranging Market) หรือในช่วงที่ตลาดกำลังเกิดการกลับตัว (Reversal)
- การใช้กลยุทธ์ Candlestick ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการวิเคราะห์กราฟเป็นอย่างมาก จึงจะสามารถตีความสัญญาณต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ
ข้อดีของการเทรดแบบ Price Action
- ใช้งานง่าย เรียนรู้ได้รวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เพียงเลือกตราสารที่มีเงื่อนไขราคาเหมาะสมหรือรอจนกว่าราคาเข้าเงื่อนไขที่กำหนด
- ช่วยระบุจังหวะที่ดีที่สุดในการเปิดและปิดออเดอร์ ซึ่งในบางครั้งอาจได้ผลดีกว่าการใช้อินดิเคเตอร์อื่นๆ
- ให้ข้อมูลตลาดแบบเรียลไทม์ เพียงแค่โฟกัสและพิจารณาพฤติกรรมของราคา
- แสดงแค่ราคาเพียงอย่างเดียว ไม่มีอินดิเคเตอร์ที่อาจทำให้การตัดสินใจเข้าออร์เดอร์ของเราไขว้เขวได้
- ไม่ต้องกังวลเรื่องตัวบ่งชี้หลายตัวที่อาจให้ผลลัพธ์ขัดแย้งกัน
- เหมาะกับตลาด Forex ที่มีความผันผวนสูง ช่วยให้นักลงทุนมองหาโอกาสทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาได้ตลอดเวลา
ข้อเสียของการเทรดแบบ Price Action
- ต้องลงมือทำตามขั้นตอนด้วยตัวเอง ไม่เหมาะกับนักเทรดที่ชอบใช้หุ่นยนต์ช่วยเทรด ควรศึกษาข้อมูลด้วยตนเองจะดีกว่า
- พิจารณาเฉพาะพฤติกรรมราคาปัจจุบัน ทำให้บางครั้งอาจผิดหวังกับราคาที่ลดลงทันทีหลังจากเปิดออเดอร์ซื้อ แม้จะวิเคราะห์แล้วว่าราคาอยู่ในแดนบวก
- นักเทรดที่ต่างกันอาจมีมุมมองและการตีความข้อมูลการเคลื่อนไหวของราคาที่แตกต่างกัน
- ผู้ใช้ต้องมีความรู้เพียงพอเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคา จึงจะใช้เทคนิคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุป
Price Action เป็นวิธีวิเคราะห์ที่เรียบง่าย แต่มีประสิทธิภาพในการช่วยให้นักลงทุนจับทิศทางของตลาดได้อย่างทันท่วงที อย่างไรก็ตาม การใช้งานจำเป็นต้องอาศัยความเข้าใจและประสบการณ์พอสมควร เพื่อแปลความหมายของสัญญาณต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและนำไปสู่กำไรที่ต้องการในที่สุด