เศรษฐกิจมหภาค คืออะไร?
เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) คือ สาขาหนึ่งของวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาระบบเศรษฐกิจในภาพรวม โดยมุ่งเน้นที่องค์ประกอบหลักๆ ของระบบเศรษฐกิจทั้งหมด เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อัตราการว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ รายได้ประชาชาติ การออม การลงทุน การใช้จ่าย และนโยบายทางเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาล
- เศรษฐศาสตร์มหภาคจะวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเหล่านี้ เพื่อทำความเข้าใจถึงพฤติกรรมและแนวโน้มของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
- รวมถึงอธิบายปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย เศรษฐกิจขยายตัว วัฏจักรธุรกิจ เป็นต้น
- ตลอดจนพยายามหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาและวางนโยบายเพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ
- เศรษฐศาสตร์มหภาคยังให้ความสำคัญกับการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรทางเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ ความสัมพันธ์ระหว่างอัตราดอกเบี้ยและการลงทุน หรือความสัมพันธ์ระหว่างอุปสงค์และอุปทานมวลรวม
- โดยอาศัยแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์ เพื่อทำความเข้าใจและพยากรณ์แนวโน้มของตัวแปรเหล่านี้ในอนาคต
- เศรษฐศาสตร์มหภาคมีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งนโยบายการเงิน เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ย ปริมาณเงินในระบบ และนโยบายการคลัง เช่น การจัดเก็บภาษี การใช้จ่ายภาครัฐ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางเศรษฐกิจ เช่น การสร้างการจ้างงาน การควบคุมเงินเฟ้อ การกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการรักษาเสถียรภาพของระบบเศรษฐกิจโดยรวม
- ในปัจจุบัน เศรษฐศาสตร์มหภาคได้พัฒนาและปรับปรุงแนวคิดทฤษฎีให้ทันสมัยและสอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป
- โดยให้ความสำคัญมากขึ้นกับปัจจัยที่มีผลต่อเศรษฐกิจโลก เช่น กระแสโลกาภิวัตน์ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความเชื่อมโยงระหว่างตลาดการเงินและเศรษฐกิจที่แท้จริง เพื่อให้สามารถอธิบายและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“โดยรวมแล้วเศรษฐศาสตร์มหภาคเป็นการมองเศรษฐกิจในระดับ “ภาพใหญ่” ซึ่งแตกต่างจากเศรษฐศาสตร์จุลภาคที่ศึกษาพฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจย่อยแต่ละส่วน เช่น ผู้บริโภค ผู้ผลิต และอุตสาหกรรมเฉพาะด้าน ทั้งนี้เพื่อทำความเข้าใจถึงกลไกการทำงานของระบบเศรษฐกิจในมุมมองที่กว้างและครอบคลุมยิ่งขึ้น”
วิธีวิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค
การวิเคราะห์หุ้นจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคจะช่วยให้เข้าใจบริบทและสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่อาจส่งผลต่อตลาดหุ้นและหลักทรัพย์ที่สนใจลงทุน ซึ่งจะเป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจที่ดีและช่วยให้ปรับพอร์ตได้เหมาะสมกับสถานการณ์ สามารถทำได้ดังนี้
- ติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ เช่น GDP อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย อัตราการว่างงาน ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค เป็นต้น เพื่อประเมินภาพรวมและทิศทางของเศรษฐกิจในระยะสั้นและระยะยาว
- พิจารณาผลกระทบของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่มีต่อกลุ่มอุตสาหกรรมและบริษัทที่สนใจลงทุน เช่น อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงอาจส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ การแข็งค่าของเงินบาทอาจกระทบต่อบริษัทส่งออก เป็นต้น
- ประเมินความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคกับราคาหุ้นในอดีต โดยอาจใช้การวิเคราะห์ทางสถิติ เช่น การวิเคราะห์สหสัมพันธ์และการถดถอย เพื่อหาความสัมพันธ์และทิศทางระหว่างตัวแปร และนำมาคาดการณ์แนวโน้มในอนาคต
- ศึกษานโยบายทางเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น นโยบายการคลัง การเงิน การค้า ที่อาจส่งผลต่อภาคธุรกิจและตลาดทุน เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ มาตรการลดหย่อนภาษี การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การเปิดเสรีทางการค้า ซึ่งล้วนมีผลต่อความน่าสนใจในการลงทุน
- วิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจมหภาคที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจและตลาดหุ้น เช่น ความผันผวนของราคาน้ำมัน ความขัดแย้งทางการค้า วิกฤตหนี้สาธารณะ เสถียรภาพทางการเมือง ภัยธรรมชาติ เป็นต้น เพื่อทำแผนรับมือและปรับพอร์ตการลงทุน
- ประยุกต์ใช้ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน ในการตัดสินใจลงทุน การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ควรนำมาพิจารณาควบคู่กับการวิเคราะห์อื่นๆ เพื่อให้เห็นภาพรวมและตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจ ที่สำคัญและรายงานภาวะเศรษฐกิจอย่างสม่ำเสมอ เช่น ตัวเลข GDP รายไตรมาส ดัชนีราคาผู้บริโภค ยอดค้าปลีก ดุลการค้า การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เป็นต้น พร้อมทั้งวิเคราะห์ว่าตัวเลขที่ประกาศออกมาดีหรือแย่กว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้หรือไม่ และอาจส่งผลอย่างไรต่อภาคธุรกิจและตลาดหุ้น
- พิจารณานโยบายของธนาคารกลางทั้งในและต่างประเทศ เช่น ทิศทางอัตราดอกเบี้ย นโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งล้วนส่งผลต่อสภาพคล่องในระบบ ต้นทุนการกู้ยืม อัตราแลกเปลี่ยน และความน่าสนใจในการลงทุน เช่น หากคาดการณ์ว่าธนาคารกลางจะลดดอกเบี้ย อาจเป็นผลบวกต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และสินค้าฟุ่มเฟือย
- ประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้าที่สำคัญ เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีการพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงควรติดตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลัก
- ศึกษางบประมาณและการลงทุนภาครัฐ ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของรัฐบาลในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจ
- โดยเฉพาะการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น ถนน รถไฟ ท่าเรือ สนามบิน พลังงาน ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและสนับสนุนการเติบโตในระยะยาว
- รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น ยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ การแพทย์ครบวงจร ซึ่งจะส่งผลบวกโดยตรงต่อบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมนั้นๆ
- วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจในวัฏจักรต่างๆ ทั้งช่วงขาขึ้น ขาลง หรือตกต่ำ เนื่องจากในแต่ละช่วงของวัฏจักรเศรษฐกิจนั้น กลุ่มอุตสาหกรรมแต่ละกลุ่มจะได้รับผลกระทบและมีผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เช่น ในช่วงเศรษฐกิจขาลง
- หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคมักจะมีความผันผวนน้อยกว่าและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าในช่วงตลาดผันผวน ส่วนหุ้นวัฏจักร เช่น อสังหาฯ รถยนต์ มักปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว เป็นต้น
- ใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์และโมเดลทางคณิตศาสตร์ เช่น การวิเคราะห์การถดถอย โมเดล GARCH โมเดลปัจจัยเชิงเดี่ยว เพื่อสร้างสมการความสัมพันธ์และประมาณการผลกระทบของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคที่มีต่อราคาหุ้น
- ซึ่งจะช่วยให้คาดการณ์แนวโน้มราคาหุ้นได้แม่นยำมากขึ้น แต่ต้องคำนึงถึงข้อจำกัดของแต่ละโมเดลและความผันผวนของตลาดที่อาจคาดเดาไม่ได้ในบางสถานการณ์ด้วย
การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคถือเป็นส่วนสำคัญในการวิเคราะห์การลงทุนเชิงกลยุทธ์และมุมมองระยะยาว ควรนำปัจจัยอื่นๆ ทั้งปัจจัยพื้นฐานและปัจจัยทางเทคนิคมาร่วมพิจารณาเพื่อให้เห็นภาพรวมที่สมบูรณ์และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมทั้งติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด และปรับการลงทุนให้สอดคล้องกับบริบทและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อบริหารความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนในระยะยาว
ตัวอย่างที่ 1 ตัวอย่างสถานการณ์ที่สำคัญที่สุดจากข้อมูลในกราฟคือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
กราฟที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566 จากกราฟจะเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นที่ 3.75% ในเดือนมกราคมและเพิ่มขึ้นเป็น 4.25% ในเดือนพฤษภาคม และคงที่ในเดือนมิถุนายน เป็นการแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองของธนาคารกลางต่อสถานการณ์เศรษฐกิจ โดยเฉพาะอัตราเงินเฟ้อที่สูง ซึ่งจำเป็นต้องใช้มาตรการควบคุมด้วยการปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ
สถานการณ์
- ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2566, ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) ได้ตอบสนองต่ออัตราเงินเฟ้อที่สูงอย่างต่อเนื่องโดยการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นจาก 3.75% เป็น 4.25%.
- เฟดได้ดำเนินการนี้เพื่อควบคุมระดับเงินเฟ้อและพยายามทำให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพมากขึ้น
ผลกระทบ
- การปรับขึ้นดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมทั้งในภาคบริษัทและภาคครัวเรือน ซึ่งอาจนำไปสู่การลดลงของการลงทุนและการใช้จ่าย
- นอกจากนี้ ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยังสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยทำให้ต้นทุนเงินทุนสูงขึ้นและอาจทำให้ผลตอบแทนจากหุ้นลดลงเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นที่มีความเสี่ยงน้อยกว่า
- การติดตามการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผนการลงทุนและการปรับพอร์ตเพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป
สรุป
การวิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาคจะช่วยให้เห็นภาพรวมและทิศทางของเศรษฐกิจ สามารถเลือกอุตสาหกรรมและหุ้นที่เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจ แต่ต้องผนวกกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นด้วย รวมถึงบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
- ติดตามข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ เช่น GDP, อัตราเงินเฟ้อ, ดอกเบี้ย, อัตราการว่างงาน, ดุลการค้า ฯลฯ ซึ่งส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดหุ้น
- วิเคราะห์ว่าอุตสาหกรรมใดได้รับผลดีหรือผลเสียจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค เช่น ดอกเบี้ยต่ำ เป็นผลดีต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ ค่าเงินอ่อนเป็นผลดีต่อผู้ส่งออก ราคาน้ำมันขึ้นกระทบภาคขนส่ง เป็นต้น
- เลือกหุ้นในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ได้รับผลดีจากปัจจัยเศรษฐกิจมหภาค มาวิเคราะห์ในเชิงลึกต่อ เช่น พื้นฐานบริษัท, งบการเงิน, คู่แข่ง ฯลฯ
- มีวินัยในการลงทุน ติดตามผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และปรับพอร์ตให้มีความเหมาะสมตามสถานการณ์และข้อมูลที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงไม่ควรใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ