“การมองหาบริษัทที่มีคุณค่าสูงกว่าราคา แล้วเข้าไปร่วมเป็นเจ้าของกิจการในระยะยาว เสมือนการปลูกต้นไม้ใหญ่ที่แม้จะโตช้า แต่จะให้ร่มเงาและผลผลิตอย่างมั่นคงยาวนาน”
หัวใจสำคัญในการลงทุนหุ้น VI
หัวใจหลักของการลงทุนในหุ้นตามแนวทาง Value Investing (VI) คือ การค้นหาบริษัทที่มีคุณค่าจริงแต่ราคาหุ้นต่ำกว่าที่ควรจะเป็น โดยนักลงทุนจะเข้าไปร่วมเป็นเจ้าของกิจการเหล่านี้ในระยะยาวนั้นเอง
- นักลงทุนแบบ VI จะใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบในการประเมินศักยภาพที่แท้จริงของบริษัท ด้วยการหยั่งลึกลงไปกว่าผิวเผิน ไม่หลงไปกับกระแสความนิยมชั่วคราวของตลาด แต่จะขุดค้นข้อมูลให้ถึงแก่น เจาะจงไปที่พื้นฐานของธุรกิจ ความสามารถในการทำกำไร รวมถึงศักยภาพในการเติบโตได้อย่างยั่งยืน
- เมื่อพบบริษัทดี ๆ ที่ราคายังไม่สะท้อนคุณค่าที่มี นักลงทุน VI จะไม่ลังเลที่จะควักกระเป๋าซื้อหุ้นเข้าพอร์ต ทว่าจะไม่ใจร้อนซื้อเกินงาม เพราะเข้าใจดีว่าการลงทุนเป็นดั่งการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น จึงต้องกระจายความเสี่ยง เลือกจังหวะที่เหมาะสม และคำนึงถึงเม็ดเงินที่จะลงทุนให้พอเหมาะกับสถานะทางการเงินของตน
- เมื่อมีหุ้นเด็ดอยู่ในมือ นักลงทุน VI จะอดทนถือครองไว้ราวกับเพื่อนรัก ไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนประจำวันของราคา แต่จะโฟกัสไปที่การเติบโตของผลกำไรในระยะยาว
- ทั้งนี้ การลงทุนแบบ VI มิได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนได้ตามยุคสมัย นักลงทุนจึงต้องขวนขวายหาความรู้ใหม่ๆ เสาะแสวงหาข้อมูลที่ทันสมัยอยู่เสมอ
- ขณะเดียวกันก็ต้องมีความยืดหยุ่น พร้อมเปลี่ยนมุมมองหากพบว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป รู้จักยอมรับความผิดพลาด
- กล้าตัดขาดทุนเมื่อจำเป็น แต่ก็ไม่ย่อท้อ พร้อมลุกขึ้นมาใหม่ เก็บเกี่ยวบทเรียนมาสั่งสมเป็นภูมิปัญญาสำหรับการลงทุนครั้งต่อไป
การลงทุนแบบ VI คืออะไร?
การลงทุนแบบ VI หรือ Value Investment คือ แนวทางการลงทุนที่เน้นการเลือกซื้อหุ้นจากการวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงของบริษัท (Intrinsic Value) โดยมีรายละเอียดดังนี้
- นักลงทุนแบบ VI จะพิจารณาปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียดถี่ถ้วน เช่น รายได้ กำไร สินทรัพย์ หนี้สิน โมเดลธุรกิจ คู่แข่ง ทีมบริหาร ความสามารถในการเติบโต ฯลฯ เพื่อประเมินว่าบริษัทนั้นมีมูลค่าที่แท้จริงเป็นเท่าใด
- หากนักลงทุนประเมินแล้วเห็นว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัทสูงกว่าราคาหุ้นในตลาด ก็จะตัดสินใจซื้อเนื่องจากมองว่าหุ้นนั้นมีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (Undervalued) นั่น หมายความว่า ถ้าซื้อมาถือไว้ในราคาต่ำ เมื่อตลาดรับรู้ถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทได้ ราคาหุ้นก็จะปรับขึ้นในระยะยาว
- นักลงทุน VI จะไม่สนใจความผันผวนของราคาในระยะสั้น เพราะมั่นใจว่าตนซื้อหุ้นมาในราคาที่คุ้มค่า และพร้อมรอเวลาตามที่คาดการณ์ไว้ให้ตลาดปรับราคาหุ้นขึ้นมาเท่ากับมูลค่าที่แท้จริง จึงมักเป็นการลงทุนแบบถือยาวเพื่อรอทำกำไรหลายปีหรือหลายสิบปี
- หุ้นที่นักลงทุน VI เลือกมักเรียกว่าหุ้นคุณค่า (Value Stock) ซึ่งจะเป็นหุ้นบริษัทที่เติบโตอย่างช้าแต่มั่นคง ไม่ได้มี “กระแส” หรือเป็นที่นิยมของตลาด จึงทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท สวนทางกับหุ้นเติบโต (Growth Stock) ซึ่งเป็นที่นิยมจนราคาขึ้นไปสูงมากแล้ว
- การลงทุนแบบ VI ก็มีข้อจำกัด คือ ต้องใช้ความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการวิเคราะห์บริษัท รวมถึงการอ่านงบการเงิน หากวิเคราะห์ผิดพลาดก็อาจทำให้ซื้อหุ้นที่ดูราคาถูกแต่จริง ๆ แล้วบริษัทมีปัญหา
ตัวอย่างหุ้นที่เป็นที่สนใจของนักลงทุน VI
ได้แก่ หุ้นในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อผู้คน เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ฯลฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ผู้คนก็ยังต้องการอยู่ดี ทำให้บริษัทมีความมั่นคง แต่การเติบโตอาจไม่สูงมากจนเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วไป
- กูรูด้านการลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน เช่น เบนจามิน เกรแฮม, วอร์เรน บัฟเฟตต์, ชาร์ลี มังเกอร์ ฯลฯ ต่างใช้หลักการ Value Investment ในการลงทุน
- พิสูจน์ให้เห็นว่าหากเลือกซื้อหุ้นคุณภาพดีที่ราคาต่ำกว่ามูลค่า แล้วถือไว้อย่างอดทน ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงในระยะยาว โดยหลีกเลี่ยงความผันผวนและความเสี่ยงส่วนเกินจากการเก็งกำไรระยะสั้น
หลักหัวใจสำคัญของ การลงทุนแบบ VI คืออะไร?
เน้นลงทุนในระยะยาว
- มองการลงทุนเป็นการเป็นเจ้าของกิจการในระยะยาว ไม่ใช่แค่การซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรระยะสั้น
- อดทนถือหุ้นที่มีคุณภาพไว้นานๆ เพื่อรอให้ราคาสะท้อนมูลค่าที่แท้จริง โดยไม่หวั่นไหวกับความผันผวนของตลาด
- เชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวตามผลประกอบการของบริษัท ไม่ใช่ปัจจัยระยะสั้น
ใช้หลักการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
- ประเมินมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ด้วยวิธีคำนวณต่างๆ เช่น Discounted Cashflow, P/E, P/BV ฯลฯ
- ศึกษาวิเคราะห์บริษัทอย่างรอบด้าน ทั้งในแง่โมเดลธุรกิจ ผลประกอบการ งบการเงิน ความสามารถของผู้บริหาร ความได้เปรียบในการแข่งขัน ฯลฯ
- ให้ความสำคัญกับข้อมูลพื้นฐานมากกว่าราคาหุ้นที่เคลื่อนไหวในระยะสั้น
ซื้อหุ้นคุณภาพดีในราคาต่ำกว่ามูลค่า (Undervalued)
- มองหาหุ้นที่ตลาดตีราคาต่ำกว่าพื้นฐานที่แท้จริง (Intrinsic value) ซึ่งมักเกิดจากการที่ตลาดมีมุมมองระยะสั้น
- รอคอยอย่างใจเย็นเพื่อให้ได้หุ้นราคาถูกที่มีส่วนต่างจากมูลค่าที่แท้จริงมากพอ (Margin of Safety) โดยหลีกเลี่ยงการซื้อตามกระแสตลาด
กระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม
- ถือเงินสดในพอร์ตในระดับที่เหมาะสม เพื่อรักษาสภาพคล่องและมีกระสุนเข้าซื้อเมื่อมีโอกาส
- ลงทุนในหุ้นจำนวนหนึ่งที่ผ่านเกณฑ์การวิเคราะห์แล้ว ไม่ใช่ลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว
- กระจายลงทุนในหุ้นหลายอุตสาหกรรม หลายประเภทธุรกิจ เพื่อลดความเสี่ยง
ลงทุนในสิ่งที่เข้าใจ (Circle of Competence)
- เลือกลงทุนในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมที่เราเข้าใจลึกซึ้ง สามารถประเมินคุณภาพได้
- หลีกเลี่ยงการลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้จริง แม้ว่าตลาดจะกำลังให้ความสนใจก็ตาม
- ขยายขอบเขตความรู้ความเข้าใจของตนเองออกไปเรื่อยๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป
รู้จักตัดขาดทุน (Cut Loss)
- การตัดขาดทุน (Cut Loss) คือกลยุทธ์สำคัญในการจัดการความเสี่ยงเมื่อลงทุนในหุ้น ซึ่งสำคัญต่อการปกป้องเงินทุนของนักลงทุนจากการขาดทุนที่อาจเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- รู้จักยอมรับผิดพลาด: การลงทุนมักมีความไม่แน่นอน นักลงทุนจำเป็นต้องยอมรับว่าการวิเคราะห์ของตนอาจผิดพลาดได้ หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์หรือข้อมูลพื้นฐานของบริษัทมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ไม่ดี ควรตัดสินใจตัดขาดทุนทันทีเพื่อลดการขาดทุน
- ยึดหลัก “ตกรถดีกว่าติดดอย” คือพลาดหุ้นที่ราคาพุ่งขึ้นไปแล้วไม่เป็นไร แต่อย่าซื้อหุ้นที่แพงจนเกินไปจนมาติดดอย
มีวินัยและอดทน
- ยึดมั่นในหลักการลงทุนของตนเอง ไม่หวั่นไหวไปกับมุมมองระยะสั้นของตลาด
- อดทนรอคอยโอกาสในการซื้อและขาย ไม่ด่วนตัดสินใจจนขาดการไตร่ตรอง
- ทนต่อแรงกดดันทางอารมณ์ เช่น ความกลัว ความโลภ ที่อาจมีผลต่อการตัดสินใจ
ไม่สนใจกระแสนิยมของตลาด
- ไม่ซื้อหุ้นเพียงเพราะราคากำลังขึ้น หรือคนอื่นกำลังซื้อกันมาก
- กล้าลงทุนในทิศทางตรงข้ามกับตลาด ถ้ามั่นใจว่าการวิเคราะห์ของตนถูกต้อง
- ใช้โอกาสเมื่อตลาดตื่นตระหนก มาเป็นจังหวะในการช้อนซื้อหุ้นคุณภาพ
เน้นกำไรจากการดำเนินธุรกิจ มากกว่าการเก็งกำไรจากราคา
- สนใจผลตอบแทนจากกำไรและเงินปันผลของบริษัทในระยะยาว
- มองว่าการลงทุนคือการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของกิจการ ไม่ใช่แค่เอาเงินมาซื้อขายเพื่อหวังผลต่างของราคา
- เน้นเข้าใจธุรกิจและติดตามพัฒนาการระยะยาว มากกว่าจับตาความเคลื่อนไหวของราคาทุกวัน
ยอมรับว่าตนเองมีข้อจำกัด
- ตระหนักว่าบางครั้งเราก็วิเคราะห์ผิดพลาด ประเมินมูลค่าคลาดเคลื่อนได้
- สามารถทบทวน ปรับเปลี่ยนมุมมองเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไป ไม่ยึดติดกับสมมติฐานเดิม
- ไม่ด่วนสรุปว่าตลาดผิด เวลาที่ราคาหุ้นไม่เป็นไปอย่างที่เราคาด อาจเป็นเพราะเรามองข้ามบางอย่างไป
เรียนรู้และพัฒนาตนเองตลอดเวลา
- ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทุน การวิเคราะห์หุ้นอยู่เสมอ
- เรียนรู้จากความผิดพลาดของตนเอง และความสำเร็จของนักลงทุนที่เก่งกาจ
มีจริยธรรมและคุณธรรมในการลงทุน
- ไม่ใช้ข้อมูลวงใน ไม่หาประโยชน์ในทางมิชอบเพื่อเอาเปรียบผู้อื่น
- ซื่อสัตย์ต่อตนเองและผู้อื่น ในการดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน
- ตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ในฐานะผู้ถือหุ้น ที่พึงใส่ใจต่อการบริหารงานของบริษัท