ผลกระทบจาก สงครามทั่วโลก และต่อหุ้นไทย

“สงครามที่ปะทุขึ้นในต่างแดน แม้จะดูไกลตัว แต่ผลกระทบทางเศรษฐกิจกลับส่งกระเพื่อมมาถึงประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคโลกาภิวัตน์ ที่การค้าการลงทุนเชื่อมโยงถึงกันทั่วโลก ไม่ว่ามุมไหนของโลกจะสั่นคลอน ย่อมส่งผลต่อทุกประเทศอย่างเป็นลูกโซ่”

  • เมื่อเกิดสงครามขึ้น นักลงทุนทั่วโลกต่างพากันวิตกกังวล เกรงว่าความขัดแย้งจะบานปลายกลายเป็นสงครามใหญ่ ส่งผลให้นักลงทุนชะลอการลงทุน และเทขายสินทรัพย์เสี่ยง อย่างหุ้น เพื่อลดความเสี่ยง หันไปถือเงินสดหรือทองคำแทน 
  • ตลาดหุ้นทั่วโลกจึงปรับตัวลดลงแทบจะพร้อมเพรียงกัน ราวกับโดมิโนที่ล้มลงทีละแผ่น เรียงกันไปทีละประเทศ
  • แม้แต่ตลาดหุ้นไทยเองก็หลีกหนีผลกระทบนี้ไปไม่พ้น ดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงอย่างหนักในวันแรกที่เปิดทำการหลังสงครามเริ่มต้นขึ้น 
  • แม้ว่าเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว บริษัทจดทะเบียนในไทยจะมี exposure ต่อประเทศคู่สงครามโดยตรงน้อยมาก มีเพียงไม่กี่บริษัทที่มีการลงทุนหรือทำธุรกิจกับประเทศเหล่านั้น 
  • แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนคลายความกังวลลง เพราะสงครามก็เหมือนไฟที่ลุกลาม หากไม่มีใครดับไว้ มันอาจลามไปไกลจนยากที่จะควบคุม
  • แม้ผลกระทบทางตรงต่อบริษัทไทยจะมีไม่มาก แต่ผลกระทบทางอ้อมที่แฝงเร้นนั้นน่าเป็นห่วงยิ่งกว่า หากสงครามยืดเยื้อยาวนาน ปั่นป่วนห่วงโซ่อุปทานไปทั่วโลก บริษัทไทยก็อาจได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น จากราคาวัตถุดิบที่แพงขึ้น และจากต้นทุนการผลิตและขนส่งที่เพิ่มขึ้นไปด้วย นั่นจะกัดกินกำไรของบริษัท และส่งผลต่อราคาหุ้นในระยะยาว
  • นอกจากนั้น สงครามยังสร้างความไม่แน่นอนต่อเศรษฐกิจโลกอย่างมหาศาล ซึ่งอาจฉุดรั้งให้เศรษฐกิจทั่วโลกถดถอย รวมถึงเศรษฐกิจไทยด้วย หากเศรษฐกิจแย่ลง
  • ผลประกอบการของบริษัทก็จะแย่ลงตามไปด้วย และนำไปสู่แรงเทขายในตลาดหุ้น จนราคาหุ้นอาจร่วงลงไปอีกไกล สะท้อนถึงความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นจากพิษสงคราม
  • นักลงทุนจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างสูงสุด ติดตามความเคลื่อนไหวของสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ประเมินผลกระทบด้วยความรอบคอบ เลือกลงทุนเฉพาะในสิ่งที่ตนเองมีความรู้และเข้าใจดี ไม่ประมาทหรือหลงเชื่อข่าวลือ รวมถึงควบคุมอารมณ์ไม่ให้หลงระเริงไปกับความโลภ หรือหวาดกลัวไปกับความตื่นตระหนก เพื่อที่จะสามารถแล่นเรือในมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยพายุได้อย่างปลอดภัยนั่นเอง

ผลกระทบความขัดแย้ง หุ้นไทยดิ่งตามตลาดหุ้นทั่วโลก

ท่ามกลางความขัดแย้งอันร้อนระอุในตะวันออกกลาง ที่อิสราเอลและอิหร่านต่างโต้ตอบกันอย่างดุเดือด ตลาดหุ้นทั่วโลกต่างก็สั่นสะเทือนไปตาม ๆ กัน ราวกับเรือที่โคลงเคลงท่ามกลางคลื่นลมแห่งความไม่แน่นอน ตลาดหุ้นไทยเองก็ไม่อาจหนีพ้นวังวนนี้ไปได้ โดยดัชนี SET ร่วงลงอย่างหนักถึง 28.94 จุด หรือ 2.13% มาปิดที่ 1,332.08 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ 19 เมษายนที่ผ่านมา

แม้ว่าเมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ตลาดหุ้นไทยจะได้รับผลกระทบโดยตรงจากความขัดแย้งครั้งนี้ไม่มากนัก เนื่องจาก

  • บริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีความเกี่ยวข้องกับทั้งสองประเทศค่อนข้างจำกัด จากข้อมูลล่าสุดในปี 2565 พบว่ามีเพียงบริษัทเดียวที่มีบริษัทย่อยในอิสราเอล และมีรายได้จากบริษัทย่อยนั้นเพียง 0.26% ของรายได้ต่างประเทศรวมของบริษัทจดทะเบียนไทยเท่านั้น
  • เช่นเดียวกับการถือครองหุ้นไทยโดยนักลงทุนจากอิสราเอลและอิหร่าน ซึ่งมีมูลค่ารวมกันเพียง 141 ล้านบาท หรือเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับมูลค่าตลาดรวม แสดงให้เห็นว่าเงินทุนจากสองประเทศนี้ไม่ได้มีบทบาทสำคัญนักในตลาดหุ้นบ้านเรา

อย่างไรก็ตาม ตลาดหุ้นไทยก็ยังคงเผชิญความผันผวนจากความกังวลของนักลงทุนที่มีต่อสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และอาจได้รับผลกระทบทางอ้อมในระยะยาว หากความขัดแย้งยังคงยืดเยื้อและส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก อาทิ

  • การพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันและวัตถุดิบต่าง ๆ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและขนส่งของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
  • การชะลอตัวของอุปสงค์ทั่วโลกจากภาวะเศรษฐกิจที่อาจถดถอยลง ซึ่งจะส่งผลให้ยอดขายและกำไรของบริษัทลดลงตามไปด้วย

ดังนั้น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจึงได้ออกมาแนะนำให้นักลงทุนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เลือกรับข้อมูลข่าวสารจากแหล่งที่เชื่อถือได้ วิเคราะห์สถานการณ์อย่างรอบด้านแล้วจึงตัดสินใจลงทุนอย่างมีวิจารณญาณ ปรับพอร์ตให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และระมัดระวังการเก็งกำไรในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินและลดความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินลงทุน ท่ามกลางการเดินทางอันขรุขระบนถนนสายการลงทุนในช่วงเวลาแห่งความไม่แน่นอนเช่นนี้

10 ผลกระทบจากสงครามต่อหุ้นไทย

1.ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนและปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง

  • จากความกังวลต่อสถานการณ์สงคราม เมื่อเกิดสงครามขึ้น นักลงทุนทั่วโลกต่างวิตกกังวลว่าความขัดแย้งจะลุกลามบานปลาย
  • ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง จึงเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง หันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเงินสดหรือทองคำแทน ทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนรุนแรงและร่วงลงอย่างหนัก

2.ตลาดหุ้นไทยร่วงลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศ

  • แม้จะได้รับผลกระทบทางตรงไม่มาก แต่เกิดจากแรงเทขายของนักลงทุนที่ตื่นตระหนก แม้ตลาดหุ้นไทยจะมี Exposure ต่อประเทศคู่สงครามค่อนข้างต่ำ 
  • แต่ด้วยความผูกพันกับเศรษฐกิจโลก เมื่อตลาดหุ้นต่างประเทศร่วง ตลาดไทยจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะดิ่งลงตามไปด้วย 
  • โดยเฉพาะเมื่อนักลงทุนเกิดความตื่นตระหนก และเทขายหุ้นเพื่อลดความเสี่ยง ยิ่งซ้ำเติมแรงกดดันให้ตลาดร่วงหนักขึ้นไปอีก

3.นักลงทุนชะลอการลงทุนและหันไปถือเงินสดมากขึ้น

  • กระทบสภาพคล่องในตลาดหุ้น ในยามที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองเพิ่มสูงขึ้น 
  • นักลงทุนมักจะชะลอการลงทุน และเลือกถือเงินสด เพื่อรักษาสภาพคล่องและรอจังหวะที่เหมาะสมในการลงทุน 
  • ส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นลดลง ตลาดขาดสภาพคล่อง และมีความผันผวนของราคามากขึ้น

4.ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะน้ำมันและทองคำ พุ่งสูงขึ้นอย่างมาก

  • ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น กัดกร่อนกำไร สงครามมักทำให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ 
  • โดยเฉพาะน้ำมันและทองคำ พุ่งสูงขึ้นมากจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นและความกังวลด้านอุปทาน 
  • บริษัทที่ต้องพึ่งพาสินค้าโภคภัณฑ์เหล่านี้เป็นวัตถุดิบหรือปัจจัยการผลิต จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากต้นทุนที่สูงขึ้น ส่งผลให้กำไรของบริษัทลดลง และราคาหุ้นปรับตัวลงตามไปด้วย

5.ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจลดลงทั่วโลก

  • ทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าและบริการลดลง กระทบต่อรายได้ของธุรกิจ สงครามสร้างความไม่แน่นอนให้กับเศรษฐกิจโลก 
  • ทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและภาคธุรกิจลดลง ส่งผลให้การใช้จ่ายและการลงทุนชะลอตัว เมื่ออุปสงค์ต่อสินค้าและบริการลดลง 
  • รายได้และกำไรของธุรกิจก็จะได้รับผลกระทบในเชิงลบ สะท้อนเป็นแรงกดดันต่อราคาหุ้นในตลาด

6.การส่งออกของไทยที่พึ่งพาตลาดโลกอาจได้รับผลกระทบ

  • จากการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า เศรษฐกิจไทยพึ่งพาการส่งออกเป็นสำคัญ 
  • เมื่อเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากผลกระทบของสงคราม โดยเฉพาะในประเทศคู่ค้าหลักของไทย ความต้องการสินค้าส่งออกของไทยก็จะลดลงตามไปด้วย 
  • ส่งผลกระทบต่อรายได้ของผู้ส่งออก และอาจสะท้อนมาที่ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่พึ่งพารายได้จากการส่งออกด้วย

7.อัตราตราแลกเปลี่ยนผันผวนสูง

  • เพิ่มความเสี่ยงให้กับบริษัทที่มีรายได้หรือต้นทุนเป็นเงินตราต่างประเทศ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศในช่วงสงคราม 
  • มักส่งผลให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศผันผวนรุนแรง สำหรับบริษัทที่มีรายได้เป็นสกุลเงินต่างประเทศ หรือมีต้นทุนเป็นเงินตราต่างประเทศสูง 
  • ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจะยิ่งสร้างความไม่แน่นอนต่อผลประกอบการ และอาจกลายเป็นความเสี่ยงที่กดดันราคาหุ้นของบริษัท

8.การหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานโลก

  • ทำให้บริษัทขาดแคลนวัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือสินค้าขั้นกลาง ส่งผลต่อการผลิตและส่งมอบสินค้า 
  • สงครามที่ยืดเยื้ออาจทำให้เกิดการหยุดชะงักในห่วงโซ่อุปทานระหว่างประเทศ เช่น การปิดด่านการค้า การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ การขนส่งสินค้าหยุดชะงัก ฯลฯ 
  • ส่งผลให้บริษัทไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบ ชิ้นส่วน หรือสินค้าขั้นกลางได้เพียงพอ เกิดการขาดแคลน หรือต้นทุนสูงขึ้น กระทบต่อการผลิตและการส่งมอบสินค้าของบริษัท

9.ความขัดแย้งทางการเมืองและการทูตที่ทวีความรุนแรง

  • อาจบั่นทอนความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศ กระทบการส่งออกและการลงทุน 
  • หากสงครามขยายวงกว้างจนกลายเป็นความขัดแย้งทางการเมืองและการทูตระหว่างประเทศ อาจส่งผลให้ความสัมพันธ์และความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศเสื่อมถอย 
  • การกีดกันทางการค้า การถอนตัวของการลงทุนระหว่างประเทศ ฯลฯ ล้วนส่งผลเชิงลบต่อการค้าการลงทุนโลก และกระทบต่อบริษัทที่พึ่งพาการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ

10.บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูง

  • ทำให้การประเมินมูลค่าหุ้นและการคาดการณ์ผลประกอบการในอนาคตเป็นไปได้ยาก เพิ่มความเสี่ยงในการลงทุน 
  • ภาวะสงครามทำให้บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูง เหตุการณ์ในอนาคตคาดเดาได้ยาก ส่งผลให้การประเมินมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมเป็นไปได้ยาก 
  • เช่นเดียวกับการคาดการณ์ผลประกอบการของบริษัทในอนาคต ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะคลาดเคลื่อน 
  • นักลงทุนจึงต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการลงทุน ส่งผลให้แรงซื้อชะลอตัวลง ขณะที่แรงขายเพิ่มสูงขึ้น