ภาษีคริปโตในไทย คืออะไร
ถ้าพูดถึงภาษีคริปโตในไทยก็คือ การที่เราต้องเสียภาษีจากกำไรที่ได้จากการลงทุนในคริปโตและโทเคนดิจิทัล โดยกฎหมาย ถือว่าคริปโตพวกนี้เป็นสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างนึง ก็เลยโดนภาษีด้วยนั่นเอง
มีอยู่ 2 กรณีใหญ่ๆ ที่ต้องเสียภาษี คือ
- ถ้าเราได้เงินปันผลหรือดอกเบี้ยจากการถือครองโทเคน ก็ต้องเอามาคิดภาษีด้วย
- แล้วก็ถ้าเราขายคริปโตหรือโทเคนแล้วได้กำไรจากส่วนต่างราคา ก็ต้องเอากำไรนั้นมาเสียภาษีเหมือนกัน
แต่เค้าเก็บภาษีเท่าไหร่ล่ะ? ง่ายๆ คือเค้าหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% เลย ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผลหรือกำไรจากการขาย ก็โดน 15% เท่ากันหมด เรียกว่าแบ่งให้รัฐไป 15% ของกำไรที่ได้มา
คราวนี้หลายคนอาจจะงงว่า แล้วต้องเสียยังไง ไปจ่ายที่ไหน บอกเลยว่าตอนนี้กรมสรรพากรกำลังจะออกแนวทางมาชัดๆ ว่าให้คำนวณยังไง จ่ายภาษียังไง แต่โดยหลักการก็คงหนีไม่พ้นต้องเอากำไรที่ได้มารวมคำนวณเป็นเงินได้ แล้วก็ไปกรอกแบบฟอร์มเสียภาษีประจำปีตามปกตินั่นแหละ
แต่ถามว่าแฟร์มั้ย? หลายคนก็บ่นว่าไม่แฟร์ เพราะบางคนก็ลงทุนเพื่อเก็งกำไรระยะสั้นเอาเงินไปใช้ในชีวิตประจำวัน พอโดนภาษีปุ๊บมันก็หายไปเยอะ แต่อีกมุมนึงเค้าก็ว่าเป็นหน้าที่ของพลเมืองที่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว ได้เงินมาก็ต้องเสียไป จะได้เอาไปพัฒนาประเทศ
จากประกาศของกรมสรรพากร
จากประกาศของกรมสรรพากรที่จะเริ่มเก็บภาษีจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล) ตั้งแต่เดือนมีนาคม พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป ทำให้เกิดประเด็นร้อนและถูกถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
- พระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ต้องเสียภาษี โดยอาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561
- เงินได้ที่ต้องเสียภาษีจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ได้แก่ (1) เงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์ที่ได้จากการถือครองโทเคนดิจิทัล ตามมาตรา 40 (4) (ซ) และ (2) กำไรส่วนต่างจากการโอนหรือขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลที่เกินกว่าเงินลงทุน ตามมาตรา 40 (4) (ฌ)
- ผู้ที่ได้รับเงินได้ดังกล่าวจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 15 ตามมาตรา 50 (ฉ) แห่งประมวลรัษฎากร
- กรมสรรพากรจะกำหนดแนวทางในการเสียภาษีจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลให้ชัดเจน รวมถึงหลักเกณฑ์ วิธีการคำนวณภาษี และขั้นตอนการเสียภาษีต่างๆ เพื่อให้ผู้เสียภาษีสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง
- ทางกรมสรรพากรจะตอบคำถามที่พบบ่อยและข้อสงสัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับภาษีคริปโตฯ เพื่อสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้กับนักลงทุน
จึงเป็นเรื่องสำคัญที่นักลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลต้องศึกษารายละเอียดของข้อกฎหมายและแนวทางการเสียภาษีให้ถ่องแท้ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามภาระทางภาษีได้อย่างครบถ้วนถูกต้อง หลีกเลี่ยงความผิดพลาดและไม่เกิดปัญหาในภายหลัง โดยควรติดตามข้อมูลจากทางกรมสรรพากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์และสามารถวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สาระสำคัญเกี่ยวกับการเสียภาษีจากการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลตามกฎหมายไทยได้ดังนี้
- สินทรัพย์ดิจิทัลตาม พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ครอบคลุมถึงคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล ซึ่งหมายความว่ากำไรที่ได้จากสินทรัพย์เหล่านี้ต้องเสียภาษี
- พ.ร.ก. แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 19) พ.ศ. 2561 ได้เพิ่มเติมเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามมาตรา 40 อีก 2 ประเภท ได้แก่
- มาตรา 40 (4) (ซ): เงินส่วนแบ่งของกำไรหรือผลประโยชน์ที่ได้จากการถือครองโทเคนดิจิทัล เช่น ผลตอบแทนจากโปรแกรมสะสมโทเคน
- มาตรา 40 (4) (ฌ): กำไรจากการโอนหรือขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล คำนวณจากส่วนต่างที่เกินกว่าเงินลงทุน
- สำหรับเงินได้ตามมาตรา 40 (4) (ซ) และ (ฌ) ผู้ได้รับเงินต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% ตามที่ระบุในมาตรา 50 (ฉ)
- ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากการถือครองโทเคน Token หรือผู้ที่ได้กำไรจากการซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัล จะต้องเสียภาษีจากเงินได้ดังกล่าว โดยถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตรา 15% ตามประมวลรัษฎากรที่แก้ไขเพิ่มเติมในปี 2561
ภาษีคริปโตในไทย ต้องจ่ายเท่าไหร่ ยื่นยังไง
ภาษีคริปโตที่ต้องจ่ายและวิธีการยื่นชำระภาษีมีรายละเอียดดังนี้
อัตราภาษีที่ต้องจ่าย
- กำไรจากการซื้อขายคริปโตหรือโทเคนดิจิทัล และเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับจากการถือครอง จะต้องเสียภาษีในอัตรา 15% ของกำไรหรือเงินได้
- ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีกำไรจากการขายบิตคอยน์ 100,000 บาท ก็จะต้องจ่ายภาษี 15,000 บาท (100,000 x 15%)
วิธียื่นชำระภาษี
- คุณต้องรวมคำนวณกำไรหรือเงินได้จากคริปโตและโทเคนดิจิทัลทั้งหมดที่ได้รับในปีภาษีนั้นๆ (1 ม.ค. – 31 ธ.ค.) แล้วนำมากรอกในแบบฟอร์มภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี
- แบบฟอร์มที่ใช้คือ ภ.ง.ด.90 หรือ ภ.ง.ด.91 (ขึ้นอยู่กับประเภทเงินได้ของคุณ) ซึ่งสามารถยื่นได้ทั้งแบบกระดาษหรือผ่านระบบ e-Filing
- ตัวอย่างการกรอกแบบฟอร์ม เช่น ถ้าคุณมีกำไรจากการซื้อขายคริปโต 100,000 บาท ให้กรอกตัวเลขนี้ในช่อง “40(4) ฌ” ของแบบ ภ.ง.ด.90 และคำนวณภาษี 15% จากยอดนี้
กำหนดเวลายื่นชำระภาษี
- กำหนดยื่นแบบและชำระภาษีคือเดือนมกราคม-มีนาคมของปีถัดไป
- เช่น สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในปี 2565 (1 ม.ค. – 31 ธ.ค. 2565) จะต้องยื่นแบบและเสียภาษีภายในเดือนมีนาคม 2566
- ถ้ายื่นชำระภาษีเกินกำหนด อาจโดนเบี้ยปรับและเงินเพิ่มได้
ข้อยกเว้น
- สำหรับปี 2565-2566 (เท่านั้น) ธุรกรรมซื้อขายผ่านเว็บ Exchange ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. จะได้รับการผ่อนผันภาษี ไม่ต้องถูกหัก ณ ที่จ่าย 15%
- อย่างไรก็ตาม คุณยังคงต้องคำนวณกำไรขาดทุนจากการซื้อขายและนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้ประจำปีตามปกติ โดยสามารถนำผลขาดทุนมาหักลดหย่อนได้ในปีเดียวกัน
ดังนั้น การเสียภาษีคริปโตจะคำนวณจากกำไรที่เกิดขึ้นจริง โดยใช้อัตรา 15% และต้องแสดงรายการไว้ในแบบฟอร์มภาษีเงินได้ประจำปี เพื่อเสียภาษีให้ถูกต้องตามกฎหมาย หากมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถสอบถามกับกรมสรรพากรหรือผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีโดยตรงได้
การผ่อนปรนภาษีสำหรับธุรกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลโดยกรมสรรพากร
เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2565 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างกฎหมาย 2 ฉบับตามที่กรมสรรพากรเสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญในการผ่อนปรนการจัดเก็บภาษีภายใต้กฎหมายปัจจุบัน ดังต่อไปนี้
- ภาษีเงินได้: ในการคำนวณภาษีเงินได้พึงประเมินหรือกำไรจากสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้เสียภาษีสามารถนำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรได้ภายในปีภาษีเดียวกัน ทั้งนี้ เงื่อนไขดังกล่าวจะใช้ได้เฉพาะกับธุรกรรมที่กระทำผ่านผู้ให้บริการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัล (Exchange) ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เท่านั้น
- ภาษีหัก ณ ที่จ่าย: สำหรับธุรกรรมที่กระทำผ่าน Exchange ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เนื่องจากไม่สามารถระบุตัวตนของผู้รับเงินและไม่ทราบจำนวนเงินได้ที่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งไม่ครบองค์ประกอบของการหักภาษี ณ ที่จ่าย ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายแต่อย่างใด
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม: มีการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับธุรกรรมที่กระทำผ่าน Exchange ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. และสินทรัพย์ดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (Retail CBDC) โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2566
โดยสำหรับธุรกรรมที่ดำเนินการผ่าน Exchange ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. กรมสรรพากรจะยังไม่จัดเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายและภาษีมูลค่าเพิ่มในช่วงเวลาที่กำหนด อีกทั้งยังอนุญาตให้ผู้เสียภาษีสามารถนำผลขาดทุนมาหักกลบกับกำไรในปีภาษีเดียวกันได้อีกด้วย มาตรการผ่อนปรนภาษีนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกและลดภาระให้แก่ผู้ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลในระยะแรกของการบังคับใช้กฎหมาย
ข้อมูลอ้างอิง: https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/lorkhor/information/manual_crypto_310165.pdf
สรุปประเด็นสำคัญเกี่ยวกับภาษีคริปโตเคอร์เรนซีในประเทศไทย
- สามารถนำผลขาดทุนมาหักลบกับกำไรได้ในปีภาษีเดียวกัน หากทำธุรกรรมผ่าน Exchange ที่ได้รับการกำกับดูแลจาก ก.ล.ต.
- วิธีคำนวณต้นทุนมี 2 แบบ คือ วิธีเข้าก่อนออกก่อน (FIFO) และวิธีต้นทุนถัวเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Cost) โดยต้องเลือกใช้วิธีเดียวกันตลอดปีภาษี
- ราคาอ้างอิงให้ใช้ตามลำดับ ได้แก่ ราคาจาก coinmarketcap.com, ราคาเฉลี่ยจาก Exchange ในไทย, ราคาจาก Exchange ต่างประเทศ, และราคาจากแหล่งที่ได้รับสินทรัพย์ดิจิทัลมา
- ไม่จำเป็นต้องแนบหลักฐานในการยื่นภาษี แต่แนะนำให้เก็บ statement ไว้กรณีถูกตรวจสอบ
- หากอยู่ในไทยเกิน 180 วันต่อปี และนำกำไรจากการขายคริปโตในต่างประเทศกลับเข้ามาในปีเดียวกัน ต้องเสียภาษีในไทย
- มีกำไรแม้ยังไม่ได้ถอนเงินออกจาก Exchange ก็ถือว่าเกิดเงินได้ที่ต้องเสียภาษีแล้ว
- กรณีที่ได้กำไรแล้วไม่ต้องเสียภาษี ได้แก่
- มีรายได้จากเทรดคริปโตอย่างเดียวและมีกำไรไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี
- มีรายได้จากเทรดคริปโตอย่างเดียวและมีกำไรไม่เกิน 210,000 บาทต่อปี (ต้องยื่นแต่ไม่ต้องจ่าย)
- อายุ 65 ปีขึ้นไป หรือเป็นผู้พิการ และมีกำไรไม่เกิน 400,000 บาทต่อปี (ต้องยื่นแต่ไม่ต้องจ่าย)
- ในทุกกรณี สามารถยื่นขอคืนภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายได้