20 คำศัพท์พื้นฐานที่ใช้บ่อยในการเทรด Forex แบบเข้าใจง่าย

ความสำคัญของคำศัพท์พื้นฐานใน Forex


คำศัพท์พื้นฐานใน Forex มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาการเทรด Forex ซึ่งสามารถสรุปเหตุผลได้ดังนี้

  • ช่วยให้เข้าใจภาษาและนิยามที่ใช้สื่อสารในตลาด Forex ได้อย่างถูกต้อง หากไม่เข้าใจคำศัพท์เหล่านี้ ก็จะไม่สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกับนักเทรดคนอื่นๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ทำให้เข้าใจหลักการทำงานพื้นฐานของตลาด Forex เช่น โครงสร้างของคู่สกุลเงิน วิธีอ่านราคา ประเภทของออร์เดอร์ กลไกของ Leverage และ Margin เป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการวางแผนและบริหารความเสี่ยงในการเทรด
  • ช่วยให้สามารถติดตามข่าวสารและบทวิเคราะห์ตลาดต่างๆ ได้อย่างเข้าใจ เพราะมักจะมีการใช้ศัพท์เฉพาะทางเหล่านี้อยู่เสมอ หากไม่รู้จักคำศัพท์ ก็จะทำให้ตีความผิดพลาดหรือไม่เข้าใจสาระสำคัญของข้อมูลนั้นๆ
  • ทำให้สามารถใช้งานแพลตฟอร์มเทรดได้เข้าใจมากขึ้น เพราะมักจะมีการใช้ศัพท์เฉพาะเหล่านี้ในการอธิบายฟีเจอร์และฟังก์ชั่นต่างๆ เช่น วิธีการเปิด-ปิดออร์เดอร์ การตั้งค่า Stop Loss, Take Profit เป็นต้น
  • สำคัญต่อการเรียนรู้กลยุทธ์การเทรดขั้นสูง เพราะส่วนใหญ่จะมีการอ้างอิงคำศัพท์พื้นฐานเหล่านี้อยู่เสมอ เช่น กลยุทธ์การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคหรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน ดังนั้นการมีพื้นฐานที่แน่นจะช่วยให้สามารถต่อยอดไปเรียนรู้ในระดับที่สูงขึ้นได้ง่ายและเร็วขึ้น
  • ช่วยลดความเสี่ยงจากความเข้าใจผิด ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจเทรดที่ผิดพลาดและสูญเสียเงินโดยใช่เหตุ เช่น การไม่เข้าใจความหมายของ Leverage และ Margin อย่างถ่องแท้ ก็อาจทำให้ใช้เงินทุนเกินตัวจนขาดทุนหนักโดยไม่รู้ตัว
  • ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง ทั้งในการวางแผนเทรดและการสนทนากับนักเทรดคนอื่นๆ เพราะแสดงให้เห็นว่าเราได้ศึกษาและเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี ไม่ใช่มือใหม่ที่ยังไม่รู้อะไรเลย

20 คำศัพท์พื้นฐานที่ใช้บ่อยในการเทรด Forex

  1. Forex (Foreign Exchange) – ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีมูลค่าการซื้อขายหลายล้านล้านดอลลาร์ต่อวัน
  2. Currency Pair – คู่สกุลเงิน เป็นการเทรดโดยการซื้อสกุลเงินหนึ่งกับขายอีกสกุลเงินหนึ่งในเวลาเดียวกัน เช่น EUR/USD, GBP/JPY
  3. Base Currency – สกุลเงินหลัก คือสกุลเงินแรกในคู่สกุลเงิน เช่นในคู่ EUR/USD สกุลเงินหลักคือ EUR
  4. Quote Currency – สกุลเงินรอง คือสกุลเงินหลังในคู่สกุลเงิน เช่นในคู่ EUR/USD สกุลเงินรองคือ USD
  5. Bid Price (ราคาเสนอซื้อ) –  เป็นราคาที่ผู้ซื้อคนอื่นๆ ในตลาดยินดีจ่ายเพื่อซื้อสกุลเงินหลัก แปลว่าถ้าคุณต้องการ “ขาย” คู่สกุลเงิน EUR/USD คุณจะต้องขายในราคา “Bid Price”
  6. Ask Price (ราคาเสนอขาย) –  เป็นราคาที่ผู้ขายคนอื่นๆ ในตลาดยินดีรับเพื่อขายสกุลเงินหลัก แปลว่าถ้าคุณต้องการ “ซื้อ” คู่สกุลเงิน EUR/USD คุณจะต้องซื้อในราคา “Ask Price”
  7. Spread – ส่วนต่างระหว่างราคา Bid Price และ Ask Price โดยทั่วไปโบรกเกอร์จะได้กำไรจากส่วนต่างนี้
  8. Pip – จุดทศนิยมสี่ตำแหน่งสุดท้ายของอัตราแลกเปลี่ยน ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของราคา เช่น EUR/USD เคลื่อนจาก 1.2345 ไป 1.2346 ถือว่าเคลื่อนไป 1 Pip
  9. Lot – ขนาดของสัญญาในการซื้อขาย โดยทั่วไปมีตั้งแต่ Nano Lot (0.001 หน่วย), Micro Lot (0.01 หน่วย), Mini Lot (0.1 หน่วย) และ Standard Lot (1 หน่วย)
  10. Leverage – อำนาจซื้อขาย เป็นเงินทุนที่โบรกเกอร์ให้เรายืมมาใช้เพื่อเพิ่มขนาดสัญญาการเทรด เช่น Leverage 1:100 หมายความว่าเราใช้เงิน $1 เพื่อซื้อขายในมูลค่า $100
  11. Margin – เงินหลักประกัน คือเงินฝากขั้นต่ำที่ต้องมีในบัญชีเพื่อรองรับขนาดสัญญาที่เราต้องการเปิดออร์เดอร์ โดย Leverage ที่เราเลือกจะส่งผลโดยตรงต่อ Margin ที่ต้องใช้
  12. Bull Market – ตลาดขาขึ้น เป็นภาวะตลาดที่ราคามีแนวโน้มขยับสูงขึ้นเรื่อยๆ
  13. Bear Market – ตลาดขาลง เป็นภาวะตลาดที่ราคามีแนวโน้มปรับตัวลดลงเรื่อยๆ
  14. Long Position – การเปิดสถานะซื้อ หมายถึงการซื้อสกุลเงินหลัก ถ้าราคาขึ้นเราจะได้กำไร
  15. Short Position – การเปิดสถานะขาย หมายถึงการขายสกุลเงินหลัก ถ้าราคาลงเราจะได้กำไร
  16. Fundamental Analysis – การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน เป็นการวิเคราะห์ราคาจากข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เช่น GDP, ดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในระยะยาว
  17. Technical Analysis – การวิเคราะห์ทางเทคนิค เป็นการวิเคราะห์ราคาจากพฤติกรรมราคาในอดีต โดยใช้กราฟ แผนภูมิ และอินดิเคเตอร์ต่างๆ เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในระยะสั้นถึงกลาง
  18. Stop Loss – ระดับราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับตัดขาดทุน เมื่อราคามาถึงจุดนี้ออร์เดอร์จะปิดโดยอัตโนมัติเพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากกว่าที่กำหนด
  19. Take Profit – ระดับราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้าสำหรับปิดออร์เดอร์ทำกำไร เมื่อราคามาถึงจุดนี้ออร์เดอร์จะปิดโดยอัตโนมัติเพื่อล็อกผลกำไร
  20. Swap – ดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางแต่ละประเทศกำหนดให้กับสกุลเงินของตน เมื่อเรามีออร์เดอร์ค้างข้ามคืน เราจะได้รับหรือต้องจ่ายดอกเบี้ยนี้ ขึ้นอยู่กับว่าสกุลเงินใดมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า

ทำความรู้จัก Swap ก่อนเริ่มเทรด

คำศัพท์เกี่ยวกับ Forex เพิ่มเติม

  1. Resistance (แนวต้าน) – ระดับราคาที่มีแรงขายออกมามาก มักเป็นจุดที่ราคาขึ้นไปแล้วไม่สามารถผ่านไปได้ มักใช้เป็นจุดอ้างอิงในการขาย
  2. Support (แนวรับ) – ระดับราคาที่มีแรงซื้อเข้ามามาก มักเป็นจุดที่ราคาลงมาแล้วไม่สามารถต่ำลงไปกว่านี้ได้ มักใช้เป็นจุดอ้างอิงในการซื้อ
  3. Trend (แนวโน้ม) –  แสดงถึงทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาในภาพรวม อาจเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend), แนวโน้มขาลง (Downtrend) หรือแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบด้านข้าง (Sideway Trend)
  4. Candlestick (แท่งเทียน) – รูปแบบของกราฟราคาที่แสดงราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาสูงสุด และราคาต่ำสุดในช่วงเวลาหนึ่งๆ นิยมใช้วิเคราะห์ทางเทคนิคมากที่สุด
  5. Indicator (อินดิเคเตอร์) –  เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์และคาดการณ์ทิศทางราคา เช่น Moving Average, RSI, MACD, Bollinger Band เป็นต้น
  6. Volatility (ความผันผวน) –  ระดับของการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ตลาดที่มีความผันผวนสูงจะมีโอกาสทำกำไรมากแต่ก็มีความเสี่ยงสูงด้วย
  7. Slippage (สลิปเพจ) –  ความแตกต่างระหว่างราคาที่คาดหวังกับราคาที่เกิดขึ้นจริงเมื่อเปิดหรือปิดออร์เดอร์ มักเกิดขึ้นเมื่อตลาดมีความผันผวนสูงและสภาพคล่องต่ำ
  8. Hedge (การป้องกันความเสี่ยง) –  เป็นกลยุทธ์ในการลดความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด โดยการเปิดสถานะซื้อและขายพร้อมกันในสินทรัพย์ที่สัมพันธ์กัน
  9. Yield (อัตราผลตอบแทน) –  อัตราดอกเบี้ยที่นักลงทุนจะได้รับจากการถือครองสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่ง โดยสกุลเงินที่มีอัตราผลตอบแทนสูงมักจะมีค่าเงินแข็งกว่า
  • ถ้าเราซื้อสกุลเงินที่มี Yield สูงกว่า: เราจะได้รับค่า Swap เป็นเหมือนดอกเบี้ย
  • ถ้าเราซื้อสกุลเงินที่มี Yield ต่ำกว่า: เราจะต้องจ่ายค่า Swap เป็นเหมือนดอกเบี้ย

 

  1. Inflation (อัตราเงินเฟ้อ) –  อัตราที่ระดับราคาสินค้าและบริการโดยเฉลี่ยปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้อำนาจซื้อของเงินลดน้อยลง เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยน
  2. Gross Domestic Product (GDP) – ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ เป็นมูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตในประเทศใดประเทศหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง (ปกติคือหนึ่งปี)  ใช้เป็นตัวชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจ
  3. Consumer Price Index (CPI) – ดัชนีราคาผู้บริโภค ใช้วัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสินค้าและบริการที่ประชาชนทั่วไปบริโภค ใช้บ่งชี้อัตราเงินเฟ้อ
  4. Non-farm Payroll (NFP) – ตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐอเมริกา เป็นหนึ่งในตัวเลขเศรษฐกิจที่มีผลต่อความผันผวนของตลาดมากที่สุด
  5. Broker (โบรกเกอร์) –  บริษัทหรือนายหน้าที่ให้บริการเป็นสื่อกลางในการซื้อขายเงินตราต่างประเทศ คิดค่าบริการในรูปของส่วนต่างราคา (Spread) หรือค่าคอมมิชชั่น
    7 ประเภทโบรกเกอร์ Forex ที่ดีที่สุด
  6. Margin Call (มาร์จินคอล) –  การแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์เมื่อเงินในบัญชีไม่เพียงพอที่จะรองรับมูลค่าการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นตามสัญญา หากไม่นำเงินมาเพิ่มโบรกเกอร์จะทำการปิดสถานะเพื่อป้องกันการขาดทุนที่มากกว่าเงินที่มี
  1. Drawdown – ผลขาดทุนสะสมสูงสุดของพอร์ตการลงทุนในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นตัวชี้วัดความเสี่ยงและผลการดำเนินงานในอดีตของระบบเทรด
    Drawdown สิ่งที่ต้องพิจารณาในการเทรด
  2. Risk-to-Reward Ratio – อัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน ใช้ประเมินความคุ้มค่าของการเทรดแต่ละครั้ง โดยเปรียบเทียบจำนวนเงินที่คาดว่าจะเสียหากราคาไปถึง Stop Loss เทียบกับจำนวนเงินที่คาดว่าจะได้หากราคาไปถึง Take Profit
  3. Fibonacci Retracement – เครื่องมือที่ใช้หาแนวรับและแนวต้าน โดยอ้างอิงจากอัตราส่วนตามทฤษฎีฟิโบนักชี่ เช่น 38.2%, 50%, 61.8% ของระยะการเคลื่อนไหวของราคาก่อนหน้า
  4. Pivot Point (จุดหมุน) – จุดศูนย์กลางที่คำนวณจากราคาเปิด สูงสุด ต่ำสุด และปิดของแท่งเทียนก่อนหน้า ใช้เป็นจุดอ้างอิงสำหรับการหาแนวรับและแนวต้านในวันถัดไป
  5. Divergence (ไดเวอร์เจนซ์) – สถานการณ์ที่ราคาและอินดิเคเตอร์เคลื่อนไหวไปคนละทิศทางกัน บ่งชี้ถึงโอกาสที่แนวโน้มราคาปัจจุบันอาจจะสิ้นสุดลงและกลับตัวไปในทิศทางตรงข้าม
  6. Relative Strength Index (RSI) – ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของราคา บ่งชี้ภาวะตลาดซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
  7. Moving Average Convergence Divergence (MACD) – ประกอบด้วย 2 เส้นหลัก คือ MACD Line และ Signal Line และ Histogram ใช้ในการติดตามแนวโน้มและโมเมนตัมของราคา 
  8. Stochastic Oscillator (สโตแคสติกออสซิลเลเตอร์) –  อินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดโมเมนตัมของราคา ช่วยระบุจังหวะที่ตลาดอยู่ในภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป
  9. Bollinger Bands (โบลิงเจอร์แบนด์) –  เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความผันผวนของราคา ประกอบด้วยเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ตรงกลาง และเส้นบนล่างที่ห่างจากเส้นกลางเป็นจำนวนหนึ่งเท่าของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
  10. Ichimoku Cloud (อิชิโมกุ คลาวด์) – อินดิเคเตอร์ที่ใช้หาแนวรับ แนวต้าน และแนวโน้มของตลาด ประกอบด้วยเส้น Tenkan Sen, Kijun Sen, Senkou Span A, Senkou Span B และ Chikou Span
  11. Carry Trade (การเทรดแบบ Carry) –  กลยุทธ์ที่อาศัยส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยทำการกู้ยืมเงินสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ แล้วนำไปแลกเป็นสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า เพื่อหากำไรจากส่วนต่างดอกเบี้ย
  12. Contract for Difference (CFD) (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง) –  เป็นสัญญาทางการเงินระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายที่กำหนดให้มีการชำระเงินส่วนต่างระหว่างมูลค่าของสินทรัพย์ ณ วันที่เปิดสัญญากับวันที่ปิดสัญญา ใช้เพื่อเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์อ้างอิง
  13. Hedge Fund (กองทุนป้องกันความเสี่ยง) –  เป็นกองทุนเพื่อการลงทุนที่รับเงินลงทุนจากกลุ่มนักลงทุนที่มีเงินทุนจำนวนมาก และนำไปบริหารโดยมืออาชีพด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายและซับซ้อน รวมถึงการเก็งกำไรจากตลาด Forex ด้วย
  14. Speculator (นักเก็งกำไร) – ผู้ที่เข้ามาซื้อขายในตลาด Forex โดยหวังผลกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนในระยะสั้น ใช้การคาดการณ์ทิศทางราคาจากการวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือปัจจัยพื้นฐานต่างๆ โดยไม่สนใจที่จะเป็นเจ้าของสกุลเงินนั้นจริงๆ
  15. Trading Journal (บันทึกการเทรด) –  สมุดหรือไฟล์ที่ใช้บันทึกข้อมูลการเทรดทั้งหมดของเรา ทั้งเหตุผลในการเปิดปิดออร์เดอร์ จำนวนเงินที่ใช้ กำไรหรือขาดทุน ความรู้สึกขณะเทรด ฯลฯ เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เรามองเห็นข้อผิดพลาด เรียนรู้ และพัฒนาทักษะการเทรดของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น
    ศึกษาวิธีการบันทึกการเทรด 

จะเห็นได้ว่าคำศัพท์ในตลาด Forex นั้นมีอยู่มากมายหลากหลาย ครอบคลุมทั้งด้านการวิเคราะห์ กลยุทธ์การเทรด การบริหารความเสี่ยง และอีกสารพัดแขนงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อความเข้าใจในการทำงานของตลาด และการพัฒนาตัวเองให้เป็นนักเทรดที่ประสบความสำเร็จได้ทั้งสิ้น

สรุป

 การทำความเข้าใจคำศัพท์พื้นฐานในตลาด Forex ถือเป็นขั้นตอนแรกที่สำคัญยิ่งสำหรับการศึกษาเทรด Forex อย่างจริงจัง เพราะจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับทุกขั้นตอนของการเทรดในอนาคต ตั้งแต่การวางแผน การวิเคราะห์ การตัดสินใจเปิดออร์เดอร์ ตลอดจนการบริหารความเสี่ยง หากขาดความเข้าใจที่ถ่องแท้แล้ว ก็เหมือนกับการเดินป่าโดยไม่มีเข็มทิศและแผนที่ ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะหลงทางและเกิดอันตรายได้นั่นเอง ดังนั้นมือใหม่จึงไม่ควรมองข้ามคำศัพท์พื้นฐานเหล่านี้เป็นอันขาด