ความสำคัญของการปรับพอร์ตการลงทุน
ในยามที่เศรษฐกิจผันผวนดั่งเรือที่โคลงเคลงท่ามกลางคลื่นลมแห่งความไม่แน่นอน นักลงทุนหลายคนอาจสับสนว่าเมื่อใดคือจังหวะที่เหมาะสมในการปรับพอร์ตการลงทุน
- ความจริงก็ คือ ความผันผวนทางเศรษฐกิจเป็นวัฏจักรที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเติบโตเต็มที่ ล้วนส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ในพอร์ตของเราทั้งสิ้น เพียงแต่ผลกระทบนั้นจะออกมาในทางบวกหรือลบต่างหากที่แตกต่างกัน
- ดังนั้น แทนที่จะหวาดกลัวจนไม่กล้าลงทุน หรือยึดติดกับสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำจนเกินไป สิ่งสำคัญคือการวางกลยุทธ์เพื่อรับมืออย่างรอบคอบ ด้วยการติดตามปัจจัยเสี่ยงและข่าวสารที่อาจส่งผลต่อสินทรัพย์ในพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อปรับสัดส่วนการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์
- โดยหลักการแล้ว เราควรปรับพอร์ตเมื่อเห็นว่าเศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ที่ถือครองจนเสียสมดุล ทำให้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ หรือมีความเสี่ยงในระดับที่ไม่อาจยอมรับได้
การปรับพอร์ตสามารถทำได้ 2 วิธี คือ
- Overweight คือ การเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์บางประเภท และลดสัดส่วนในสินทรัพย์ประเภทอื่นลงเพื่อชดเชย เช่น เพิ่มสัดส่วนหุ้นในประเทศ และลดสัดส่วนหุ้นต่างประเทศ
- Underweight คือ การลดสัดส่วนในสินทรัพย์บางประเภท และเพิ่มสัดส่วนในสินทรัพย์อื่นแทน เช่น ลดพันธบัตร เพิ่มหุ้นในประเทศ
“การเลือกจังหวะปรับพอร์ตก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยต้องพิจารณาว่าสินทรัพย์ใดมีแนวโน้มโตและให้ผลตอบแทนดีในภาวะเศรษฐกิจขณะนั้น ควบคู่ไปกับปัจจัยส่วนตัวของนักลงทุน เช่น อายุ และเป้าหมายผลตอบแทนที่คาดหวัง”
- การปรับพอร์ต คือ การปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับความเสี่ยงและโอกาสที่เปลี่ยนไปของเศรษฐกิจ ควบคู่ไปกับสถานการณ์ของนักลงทุนเอง
- การปรับพอร์ตบ่อยเกินไปโดยไม่จำเป็นก็อาจเป็นดาบสองคม เพราะอาจทำให้เสียค่าธรรมเนียมและพลาดจังหวะการลงทุนได้เช่นกัน
ดังนั้น สิ่งสำคัญ คือ การติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ใช้วิจารณญาณอย่างรอบคอบ และวางแผนปรับพอร์ตอย่างเป็นระบบต่างหากที่จะช่วยให้เรือแห่งการลงทุนแล่นฝ่าคลื่นลมไปสู่ฝั่งฝันได้อย่างมั่นคงในที่สุด
วิธีการปรับพอร์ตการลงทุนที่ดี เพื่อรับมือกับภาวะเศรษฐกิจ
ในยามที่เศรษฐกิจผันผวนดุจดั่งเรือที่โคลงเคลงกลางมหาสมุทรแห่งความไม่แน่นอน นักลงทุนจำเป็นต้องปรับพอร์ตหุ้นให้สอดรับกับคลื่นลมที่เปลี่ยนแปรไป เพื่อให้เรือแห่งการลงทุนแล่นไปถึงฝั่งฝันแห่งผลตอบแทนได้อย่างปลอดภัย
การปรับพอร์ตหุ้นให้เหมาะสมกับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน สามารถทำได้ดังนี้
เพิ่มสัดส่วนหุ้นในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical stocks)
- ในยามเศรษฐกิจฟื้นตัว ควรเพิ่มสัดส่วนหุ้นในกลุ่ม Cyclical ที่จะได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายที่สูงขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
- เนื่องจากรายได้ของบริษัทเหล่านี้จะปรับตัวขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้ราคาหุ้นมีโอกาสปรับขึ้นตาม
- ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจชะลอตัวหรือถดถอย ก็ควรลดสัดส่วนในกลุ่ม Cyclical ลง เพราะรายได้และกำไรของบริษัทจะลดลงตามกำลังซื้อที่หายไป ส่งผลกดดันต่อราคาหุ้น
เพิ่มสัดส่วนหุ้นในกลุ่มป้องกันความเสี่ยง (Defensive stocks)
- ในยามเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะลดการใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น แต่ยังคงต้องใช้จ่ายในสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน
- ธุรกิจในกลุ่ม Defensive เช่น อาหารและเครื่องดื่ม ของใช้ส่วนตัว ยารักษาโรค ฯลฯ จึงยังคงมีรายได้ที่ค่อนข้างคงที่ไม่หายไปตามเศรษฐกิจ
- การเพิ่มสัดส่วนในกลุ่ม Defensive stocks ไว้ในพอร์ต จะช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด เพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะผันผวนน้อยกว่า ซึ่งจะช่วยพยุงพอร์ตในยามที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ ร่วงหนัก
เพิ่มสัดส่วนเงินสดหรือสินทรัพย์ปลอดภัย
- ในช่วงที่ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ทั้งจากสงครามการค้า วิกฤตการเมือง หรือโรคระบาด ฯลฯ
-
- การมีเงินสดสำรองหรือสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น พันธบัตรรัฐบาล เงินฝาก กองทุนตลาดเงิน ฯลฯ ไว้ในพอร์ตสูงขึ้นก็เป็นทางเลือกที่ดี
- เงินสดจะช่วยลดความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ต และยังเป็น “กระสุน” ให้เราสามารถเข้าซื้อหุ้นได้ในจังหวะที่ตลาดปรับตัวลดลงมาก ๆ
- การมีสภาพคล่องสำรองไว้ จะทำให้เรามีแต้มต่อเหนือนักลงทุนที่ขาดเงินลงทุน หรือต้องขายหุ้นออกไปในราคาต่ำเพื่อชดเชยผลขาดทุน
ปรับสัดส่วนการลงทุนระหว่างประเทศ
- หากเศรษฐกิจไทยชะลอตัว แต่เศรษฐกิจโลกหรือภูมิภาคอื่นๆ ยังเติบโตได้ดี การเพิ่มสัดส่วนหุ้นต่างประเทศหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศในพอร์ตขึ้น จะช่วยโอบอุ้มผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ต บนหลักการกระจายความเสี่ยงไปในตลาดที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า
- ในทางกลับกัน หากเศรษฐกิจไทยแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจโลกอ่อนแอ การนำเงินกลับมาลงทุนในประเทศบ้าง ก็อาจเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพื่อจับจังหวะผลตอบแทนที่ดีกว่าจากเศรษฐกิจในบ้าน
ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด
- ภาวะเศรษฐกิจผันผวนเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน มีเหตุการณ์สำคัญๆ ที่กระทบต่อตลาดเกิดขึ้นตลอดเวลา นักลงทุนจึงจำเป็นต้องติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดและข่าวสารอย่างใกล้ชิด
- การศึกษาวิเคราะห์สถานการณ์อย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เราเห็นความเสี่ยงและโอกาสในการลงทุนที่ปรากฏขึ้น สามารถคาดการณ์แนวโน้มและปรับพอร์ตให้ทันต่อเหตุการณ์ ไม่ใช่ปล่อยให้พอร์ตค้างอยู่แบบเดิม และโดนความเปลี่ยนแปลงบีบให้ต้องเจ็บตัว
ยกตัวอย่าง การปรับพอร์ตหุ้น โดยเพิ่มสัดส่วนหุ้น ในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากวัฏจักรเศรษฐกิจ (Cyclical stocks)
- สมมติว่าเรากำลังจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว โดยมูลค่าพอร์ตรวมอยู่ที่ 1,000,000 บาท เราอาจปรับสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่ม Cyclical เพิ่มขึ้นจากเดิม 20% เป็น 30% ของพอร์ตรวม
- หมายความว่า จากเดิมที่เรามีเงินลงทุนในหุ้นกลุ่ม Cyclical อยู่ 200,000 บาท (ร้อยละ 20 ของ 1,000,000) เราจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 300,000 บาท (ร้อยละ 30 ของ 1,000,000)
- ทั้งนี้เราอาจเลือกลงทุนเพิ่มในหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย เช่น บริษัทผลิตเครื่องสำอาง หรือบริษัทจำหน่ายสินค้าแฟชั่น ซึ่งจะได้อานิสงส์จากกำลังซื้อที่สูงขึ้นเมื่อผู้บริโภคมีความมั่นใจมากขึ้นในภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว
- หรือเราอาจเพิ่มสัดส่วนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง จาก 10% เป็น 15% ของพอร์ต เพื่อรับอานิสงส์จากความต้องการซื้อบ้านและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่มักจะเพิ่มสูงขึ้นในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว
- ในทางกลับกัน หากเรามองว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัว เราอาจลดสัดส่วนหุ้นกลุ่มท่องเที่ยว เช่น โรงแรม สายการบิน จาก 15% ของพอร์ต เหลือเพียง 5% เพื่อลดความเสี่ยงจากรายได้ที่อาจลดลงหากนักท่องเที่ยวลดการเดินทางท่องเที่ยวลงในช่วงเศรษฐกิจถดถอย
- การปรับพอร์ตเช่นนี้จะช่วยให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเติบโตของเศรษฐกิจในช่วงขาขึ้น และจำกัดความเสี่ยงในช่วงขาลง โดยเราต้องคอยวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจและปรับพอร์ตให้สอดคล้องเสมอ เพื่อให้การลงทุนมีประสิทธิภาพสูงสุด
กราฟวงกลมแหวน (Doughnut chart) แสดงการกระจายสัดส่วนพอร์ตการลงทุนที่ปรับตามสภาวะเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว
- Cyclical Stocks (30%): ปรับเพิ่มขึ้นจาก 20% เป็น 30% เพื่อให้สอดคล้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
- Luxury Goods (15%): สัดส่วนนี้สะท้อนถึงการลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากการฟื้นตัว
- Real Estate & Construction (15%): สัดส่วนนี้เพิ่มขึ้นเพื่อรับประโยชน์จากการเติบโตของกลุ่มนี้ที่มักจะปรากฏในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว
- Other (40%): รวมถึงหมวดหมู่อื่นๆ ที่ไม่ได้ถูกขยายในการปรับสัดส่วน
ตัวอย่างการวางแผนปรับพอร์ตการลงทุนให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนเดิม
- นักลงทุน A มีแผนลงทุนสำหรับเกษียณอายุในอีก 15 ปีข้างหน้า โดยเลือกลงทุนหลักในกองทุนรวมที่มีความเสี่ยงระดับ 4 – 6 คิดเป็น 80% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด
- ใช้ 20% สำหรับการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง เพื่อสร้างความหลากหลายและความสมดุลในพอร์ต
- หลังจากลงทุนไป 3 ปี ผลตอบแทนจากกองทุนรวมได้เติบโตอย่างรวดเร็ว
- จนทำให้สัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวมเพิ่มขึ้นเป็น 90% ของพอร์ตการลงทุน
- ส่วนการลงทุนในตราสารหนี้ลดลงเหลือเพียง 10% ทำให้ความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ
- เพื่อรักษาสัดส่วนการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ตั้งเป้าหมายไว้ นักลงทุน A จำเป็นต้องทำการปรับพอร์ตการลงทุน ซึ่งหมายถึงการขายส่วนหนึ่งของกองทุนรวมที่มีผลตอบแทนสูงเพื่อลดสัดส่วนลงไปเป็น 80% และใช้เงินที่ได้จากการขายนั้นซื้อตราสารหนี้เพิ่มเติม เพื่อกลับมาถึงสัดส่วนการลงทุนเดิมที่ 20% นี้จะช่วยรักษาระดับความเสี่ยงที่ต้องการและเพิ่มโอกาสในการรักษาผลตอบแทนระยะยาวที่มั่นคง
กราฟด้านบนแสดงถึงการปรับสัดส่วนการลงทุนของนักลงทุน A ตามระยะเวลาที่ผ่านไป
- Year 0: คือจุดเริ่มต้นของการลงทุน โดยนักลงทุน A มีสัดส่วนการลงทุนในกองทุนรวม (Equity Funds) 80% และในตราสารหนี้ (Debt Instruments) 20%
- Year 3: หลังจาก 3 ปีของการลงทุน กองทุนรวมมีผลตอบแทนสูงจนสัดส่วนในพอร์ตเพิ่มขึ้นเป็น 90% ในขณะที่สัดส่วนของตราสารหนี้ลดลงเหลือ 10%
- After Adjustment: นักลงทุน A ได้ทำการปรับพอร์ตการลงทุนเพื่อนำสัดส่วนกลับมายังสัดส่วนเดิมที่ตั้งไว้ เป็นกองทุนรวม 80% และตราสารหนี้ 20%
สรุป
การลงทุนในหุ้นท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจผันผวนนั้น แม้จะเต็มไปด้วยความเสี่ยงและความไม่แน่นอน แต่หากนักลงทุนมีการปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับวัฏจักรเศรษฐกิจอย่างเหมาะสม เลือกกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากภาวะนั้นๆ ป้องกันความเสี่ยงด้วยสินทรัพย์ปลอดภัย พร้อมทั้งเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดอย่างใกล้ชิด เพื่อปรับเปลี่ยนพอร์ตให้ทันต่อทุกความเปลี่ยนแปลง ก็จะสามารถฝ่าคลื่นลมแห่งความผันผวนนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
การลงทุนเปรียบได้กับการเดินทาง ที่แม้จะต้องพบเจอกับอุปสรรคนานัปการ แต่หากเรามีแผนที่ที่ดี มีเข็มทิศคอยนำทาง และมีไหวพริบปรับตัวตามสภาพแวดล้อมเสมอ เราก็จะสามารถเดินทางผ่านทุกอุปสรรคจนไปถึงปลายทางแห่งผลตอบแทนอันงดงามได้อย่างแน่นอน