การลงทุนในหุ้น คือ การแลกเปลี่ยนความเสี่ยงกับโอกาสในการสร้างผลตอบแทน เราไม่สามารถหวังเพียงด้านใดด้านหนึ่งได้ทั้งหมด แต่ต้องยอมรับทั้งสองด้านควบคู่กันไป พร้อมทั้งพยายามบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด เท่าที่เงินลงทุนและความรู้ความสามารถของเราจะเอื้ออำนวยให้ทำได้ เพื่อให้พอร์ตการลงทุนของเรามีโอกาสเติบโตอย่างมั่นคง แข็งแกร่ง และยั่งยืนตลอดไป นั่น คือ หัวใจของการลงทุนในตลาดหุ้น อย่างแท้จริง
ความเสี่ยงในการลงทุนหุ้น มีอะไรบ้าง?
- ความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาหุ้น (Market Risk): ทำให้มูลค่าเงินลงทุนลดลงเมื่อภาวะตลาดโดยรวมปรับตัวลง
- ความเสี่ยงจากผลการดำเนินงานของบริษัท (Company Risk): เมื่อบริษัทมีกำไรลดลงหรือขาดทุน ราคาหุ้นก็มักจะตกลงตาม
- ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม (Industry Risk): เช่นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี การแข่งขันที่รุนแรงขึ้น อาจกระทบต่อแนวโน้มการเติบโตในอนาคต
- ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจ (Economic Risk): เช่น ภาวะเงินเฟ้อ เศรษฐกิจถดถอย ซึ่งมีผลกระทบในวงกว้างต่อหลายธุรกิจ
- ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย (Interest Rate Risk): เมื่อดอกเบี้ยขึ้น ต้นทุนการกู้ยืมของธุรกิจสูงขึ้น และนักลงทุนอาจเทเงินไปลงทุนในตราสารหนี้แทน
- ความเสี่ยงจากสภาพคล่องของหุ้น (Liquidity Risk): ในหุ้นที่ซื้อขายน้อย อาจขายหุ้นได้ยากในยามที่ต้องการเงินสด
- ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน (Currency Risk): เมื่อลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ผลตอบแทนอาจผันผวนตามความเคลื่อนไหวของค่าเงิน
- ความเสี่ยงจากปัจจัยทางการเมือง (Political Risk): ทั้งจากนโยบายรัฐที่เปลี่ยนแปลง หรือเหตุการณ์ความไม่สงบต่างๆ ซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาถึงภาคธุรกิจ
- ความเสี่ยงจากข้อมูลไม่เพียงพอ (Information Risk): เนื่องจากข้อมูลที่เปิดเผยสู่สาธารณะอาจไม่ครบถ้วน โปร่งใส หรือเป็นปัจจุบัน
- ความเสี่ยงจากพฤติกรรมของนักลงทุน (Behavioral Risk): เช่น การใช้อารมณ์ตัดสินใจ ขาดวินัย คล้อยตามคนอื่น ทำให้จังหวะการซื้อขายผิดพลาด
แนวทางที่ 1 คือ กระจายการลงทุน (Diversification)
การกระจายการลงทุนเป็นหลักการพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของการบริหารความเสี่ยง โดยแทนที่จะเน้นไปที่การลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัว ให้กระจายเงินลงทุนไปในหุ้นจำนวนมาก ในหลากหลายอุตสาหกรรม และในตลาดของหลายประเทศ
- เหตุผลเบื้องหลัง คือ หากหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มมีผลประกอบการไม่ดีจนราคาร่วง ก็จะมีหุ้นตัวอื่นที่ไม่ได้รับผลกระทบ
- หรืออาจปรับตัวขึ้นมาชดเชย ช่วยพยุงให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตผันผวนน้อยลง
- ตามทฤษฎีการลงทุนสมัยใหม่ (Modern Portfolio Theory) การกระจายความเสี่ยงจะช่วยให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นในระดับความเสี่ยงเดียวกัน
- ข้อเสียที่สำคัญ คือ ต้นทุนในการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น เนื่องจากต้องซื้อขายหลายรายการ และผลตอบแทนโดยเฉลี่ยอาจถูกดึงลงมา
แนวทางที่ 2 คือ ถัวเฉลี่ยต้นทุน (Dollar-Cost Averaging)
การถัวเฉลี่ยต้นทุน คือ การทยอยซื้อหุ้นเป็นงวดๆ อย่างสม่ำเสมอ ด้วยเงินลงทุนจำนวนพอๆ กัน เช่น ลงทุนเดือนละ 10,000 บาท ติดต่อกันเป็นเวลา 1 ปี แทนที่จะเอาเงินทั้ง 120,000 บาท ไปซื้อหุ้นทีเดียวในคราวเดียว
- วิธีนี้ช่วยลดความเสี่ยงที่เกิดจากการจับจังหวะตลาดผิด (Market Timing Risk) เช่น ซื้อหุ้นเข้าไปก่อนที่ตลาดจะร่วงลงอย่างหนัก หรือรอซื้อจนกระทั่งตลาดพุ่งขึ้นไปมากแล้ว
- การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย จะทำให้ได้ราคาเฉลี่ยที่ไม่แพงเกินไป ไม่ว่าตลาดจะขึ้นหรือลงก็ตาม
- ยิ่งใช้วิธีนี้นานเท่าไร ก็จะยิ่งได้ผลดีมากขึ้นเท่านั้น เพราะจะได้เฉลี่ยราคาในระยะยาว และเห็นผลทบต้นของเงินปันผลที่ถูกนำไปซื้อหุ้นเพิ่มทุกงวดอีกด้วย
วิธีนี้เหมาะกับนักลงทุนที่มีวินัยในการออมเงินเป็นประจำ โดยเฉพาะผ่านกองทุนรวมที่มีแผนการลงทุนอัตโนมัติแบบหักบัญชีทุกเดือน
แนวทางที่ 3 คือ กำหนดระดับราคาซื้อขาย (Price Limit)
การวางแผนล่วงหน้าถึงระดับราคาที่เราจะเข้าซื้อหรือขายหุ้นแต่ละตัว จะช่วยให้การตัดสินใจมีหลักการชัดเจนขึ้น และช่วยควบคุมอารมณ์ในยามที่ตลาดผันผวน แทนที่จะซื้อขายด้วยความรู้สึกชั่ววูบเมื่อเห็นราคาขึ้นลงแรง
- ในด้านการกำหนดราคาขาย ควรคำนวณถึงผลตอบแทนที่พึงพอใจ รวมถึงราคาที่เราจะยอมตัดขาดทุนเพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจลุกลามได้
- โดยเฉพาะหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงในทางลบ หรือราคาตกลงผิดปกติจากแรงเทขายอย่างหนัก
- ในด้านการกำหนดราคาซื้อ ควรวิเคราะห์ถึงมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น แล้วกำหนดระดับราคาที่เรายินดีจะจ่ายให้กับธุรกิจดีๆ สักธุรกิจ พร้อมทั้งเผื่อ “กำไรความปลอดภัย” (Margin of Safety) คือ ราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริงมากพอจะชดเชยความผิดพลาดจากการคาดการณ์ผิดพลาดหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
การกำหนดระดับราคาล่วงหน้านี้ เป็นพื้นฐานสำคัญของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ซึ่งจะรอจนกว่าหุ้นที่ต้องการจะมาถึงราคาที่ต้องการ จึงค่อยตัดสินใจซื้อ ไม่ได้ซื้อทุกครั้งที่มีเงิน หรือขายทิ้งเพียงเพราะไม่อยากถือต่อ
แนวทางที่ 4 คือ ใช้ Protective Put
สำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นอยู่แล้วจำนวนมาก และกลัวว่าความเสี่ยงขาลงจะกระทบต่อพอร์ตหนัก หนึ่ง ในกลยุทธ์ที่น่าสนใจ คือ การใช้ออปชัน Put เพื่อป้องกันความเสี่ยง (Hedging)
การซื้อ Put Option ที่ให้สิทธิขายหุ้นที่เรากำลังถืออยู่ ในราคาใช้สิทธิ (Strike Price) และวันหมดอายุ (Expiration) ที่กำหนด เป็นกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ในการลงทุนหุ้น
- ผู้ลงทุนซื้อ Put Option ที่มี Underlying Asset เป็นหุ้นที่ผู้ลงทุนถืออยู่แล้ว
- Put Option นี้ให้สิทธิผู้ลงทุนในการขายหุ้นที่ถืออยู่ ณ ราคาใช้สิทธิ (Strike Price) ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
- ผู้ลงทุนต้องใช้สิทธินี้ก่อนวันหมดอายุ (Expiration Date) ของ Option
- หากราคาหุ้นลดลงต่ำกว่า Strike Price ผู้ลงทุนจะใช้สิทธิขายหุ้นในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด ช่วยจำกัดขาดทุน
- หากราคาหุ้นสูงขึ้นเกิน Strike Price ผู้ลงทุนจะไม่ใช้สิทธิ ปล่อยให้ Option หมดอายุไป และขายหุ้นในตลาด
- หากราคาหุ้นร่วงลงมาต่ำกว่าราคาใช้สิทธิ เราก็สามารถใช้สิทธิขายหุ้นออกไปในราคาที่สูงกว่าราคาตลาด เพื่อจำกัดผลขาดทุน แลกกับค่าพรีเมี่ยมที่ต้องจ่ายไปเมื่อซื้อ Put
- การซื้อ Put นั้นเหมาะกับนักลงทุนที่คาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์เชิงลบอย่างรุนแรง ในระยะเวลาอันใกล้นี้ ซึ่งจะฉุดให้ราคาหุ้นตกหนัก
- โดยทั่วไปแล้ว Put ที่มีอายุสัญญาสั้นและราคาใช้สิทธิใกล้เคียงกับราคาหุ้นปัจจุบันจะมีค่าพรีเมี่ยมแพงกว่า Put ที่มีอายุยาวกว่าและราคาใช้สิทธิต่ำกว่า
- นักลงทุนต้องเลือกระหว่างการจ่ายค่าพรีเมี่ยมที่สูงกว่า เพื่อปกป้องพอร์ตในระยะเวลาอันใกล้ กับการจ่ายค่าพรีเมี่ยมที่ถูกกว่าแต่รับความเสี่ยงมากขึ้นในอนาคต
- ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับมุมมองต่อตลาดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเอง
แนวทางที่ 5 คือ ติดตามพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ
การจัดการความเสี่ยงไม่ได้จบลงเพียงแค่ตอนตัดสินใจซื้อหุ้นแล้วถือยาวๆ โดยไม่สนใจอะไรอีก หากแต่ต้องอาศัยการติดตามผลการดำเนินงานของบริษัทในพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ เพื่อประเมินว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากสมมติฐานเดิมบ้าง
- หากผลประกอบการของบริษัทเริ่มย่ำแย่ลง ในขณะที่คู่แข่งยังเติบโตดี ก็อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดลง จากการที่สินค้าล้าสมัย หรือความนิยมของลูกค้าเปลี่ยนไป
- หากมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐ เช่น การออกกฎหมายใหม่ที่ส่งผลเชิงลบต่ออุตสาหกรรม ก็ควรมาประเมินใหม่ว่าจะส่งผลต่อบริษัทในพอร์ต
- ควรปรับลดสัดส่วนการถือครองหรือถอนตัวออกจากการลงทุนในบริษัทนั้นหรือไม่
- การเฝ้าระวังความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยพื้นฐานและภาวะอุตสาหกรรม ถือเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงที่สำคัญ ไม่แพ้การกระจายการลงทุนเลยทีเดียว เพราะไม่มีหุ้นตัวไหนที่จะดีไปตลอดกาล
- หากเราไม่ยอมปรับพอร์ตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลก ก็เท่ากับว่าความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว
แนวทางที่ 6 คือ ลดการกู้ยืมเงินมาลงทุน (Leverage)
หลีกเลี่ยงการกู้ยืมเงินมาซื้อหุ้นมากเกินไป เพราะจะทำให้พอร์ตมีความเสี่ยงสูงมาก ถ้าหากราคาหุ้นลดลงเพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้ติดขัดในการชำระหนี้ได้
การใช้เลเวอเรจ (Leverage) ในการลงทุนหุ้น หมายถึง การใช้เงินกู้หรือเงินยืมเพื่อเพิ่มมูลค่าการลงทุนของตน เทคนิคนี้สามารถขยายทั้งกำไรและขาดทุน ซึ่งความเสี่ยงหลักจากการใช้เลเวอเรจ คือ
- ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risk): เมื่อคุณใช้เงินกู้เพื่อซื้อหุ้น หากราคาหุ้นลดลง คุณจะสูญเสียเงินทุนเดิมและยังต้องชำระหนี้พร้อมดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากเงินกู้ด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่การขาดทุนในระดับที่มากกว่าการลงทุนด้วยเงินทุนของตนเอง
- ความผันผวนของตลาด (Market Volatility): ตลาดหุ้นมีความผันผวนสูง ราคาหุ้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ในกรณีที่หุ้นที่คุณลงทุนด้วยเงินกู้ลดลงอย่างมาก คุณอาจต้องชำระเงินกู้คืนทันที หรือเรียกเงินคืนซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เรียกว่า “margin call”
- ความเสี่ยงในการชำระหนี้ (Debt Servicing Risk): คุณจำเป็นต้องชำระดอกเบี้ยเป็นประจำสำหรับเงินกู้ที่ใช้ ถึงแม้ว่าการลงทุนของคุณจะไม่สร้างผลกำไรหรือราคาหุ้นลดลงก็ตาม ซึ่งอาจทำให้เกิดภาระทางการเงินเพิ่มเติม
แนวทางที่ 7 คือ ปรับพอร์ตเป็นระยะ (Portfolio Rebalancing)
การปรับพอร์ตเป็นระยะหรือ Portfolio Rebalancing คือ การกระทำที่ทำให้พอร์ตการลงทุนของคุณยังคงอยู่ในสัดส่วนหรือความเสี่ยงที่คุณตั้งเป้าหมายไว้ เนื่องจากกาลเวลาผ่านไปและมูลค่าของการลงทุนในแต่ละส่วนของพอร์ตอาจเปลี่ยนแปลง
- การปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องกับแผนเดิมจึงมีความสำคัญ เพื่อทำให้แน่ใจว่าคุณยังคงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คุณต้องการไว้ได้
- การลงทุนในหุ้นนั้นต้องอาศัยสภาวะอารมณ์ที่มั่นคง หากในช่วงที่ตลาดผันผวนสูง เรารู้สึกเครียด กดดัน จนไม่สามารถคิดวิเคราะห์อย่างมีเหตุผลได้ การถอยห่างจากตลาดชั่วคราว อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
- แทนที่จะเข้าไปซื้อขายหุ้นด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ซึ่งมีโอกาสสูงที่จะผิดพลาด ให้หยุดพักสักระยะหนึ่ง ทบทวนแผนการลงทุนของตัวเองใหม่ รอจนกว่าจะรู้สึกสงบนิ่งและพร้อมกลับมาคิดวิเคราะห์อย่างเป็นกลางอีกครั้ง จึงค่อยกลับมาลงทุนต่อ
- การพักเพื่อทบทวนกลยุทธ์ ไม่ได้เป็นการล้มเลิกแผนการลงทุนที่วางไว้ หากแต่เป็นการชะลอความเร็วลง เพื่อให้แน่ใจว่าการตัดสินใจของเรานั้นยังคงสอดคล้องกับแผนระยะยาว ไม่ได้เกิดจากแรงอารมณ์ชั่วครู่ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับพอร์ตอย่างมหาศาล
แนวทางการจัดการความเสี่ยงเพิ่มเติม
ทยอยขายทำกำไร (Take Profit)
เมื่อหุ้นที่เราถือปรับตัวขึ้นมามาก จนเกินพื้นฐานหรือราคาเป้าหมายที่ตั้งไว้ การขายทำกำไรบางส่วน เป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณา แทนที่จะถือต่อไปจนกว่าราคาจะพุ่งขึ้นไปอีก
- ในโลกของการลงทุน ไม่มีใครรู้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นไปถึงจุดสูงสุด ณ ตอนไหน ดังนั้น เมื่อได้กำไรในระดับที่น่าพอใจแล้ว การขายเพื่อ “ล็อกกำไร” ส่วนหนึ่งไว้ก่อน จะช่วยลดความผิดหวังที่อาจเกิดขึ้น หากราคาหุ้นปรับฐานลงมาแรงในภายหลัง
- การทยอยขายนั้น นอกจากจะช่วยให้เรานำเงินไปหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ แล้ว ยังเป็นการบังคับตัวเองให้รู้จักพอ ไม่โลภมากเกินไปจนเสี่ยงต่อการขาดทุนในระยะยาว ซึ่งสอดคล้องกับกฎทองของวอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่ว่า “อย่ากลัวที่จะขายหุ้นเร็วเกินไป”
ปรับพอร์ตเป็นระยะ (Portfolio Rebalancing)
เมื่อเวลาผ่านไป การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นแต่ละตัว จะทำให้สัดส่วนของมูลค่าพอร์ตเปลี่ยนแปลงไปจากแผนที่วางไว้เดิม
เช่น สมมติเราตั้งใจไว้ว่าจะกระจายการลงทุนในสัดส่วน 50% ในหุ้น, 30% ในพันธบัตร และ 20% ในสินทรัพย์อื่นๆ
- หากหลังจากผ่านไป 1 ปี ราคาหุ้นในพอร์ตขึ้นมามาก ขณะที่ราคาพันธบัตรและสินทรัพย์อื่นๆ ทรงตัว การถือครองหุ้นอาจพุ่งขึ้นไปเป็น 60% ของพอร์ต ส่งผลให้ความเสี่ยงโดยรวมของพอร์ตสูงขึ้น โดยที่เราไม่ตั้งใจ
- การปรับพอร์ตให้กลับมาอยู่ในสัดส่วนเดิม ตามแผนที่วางไว้ จะช่วยรักษาระดับความเสี่ยงโดยรวมให้เหมาะสมกับเป้าหมาย ไม่ให้ถูกครอบงำจากผลตอบแทนระยะสั้นของสินทรัพย์บางประเภท
- การปรับพอร์ตนี้ไม่ได้หมายความว่า เราต้องเปลี่ยนแปลงการถือครองหุ้นทุกตัวที่มี แต่ควรมองเป็นภาพรวมในเชิงกลยุทธ์ เช่น ลดสัดส่วนหุ้น กลุ่ม ก. ที่เพิ่งขึ้นมาเยอะ เพิ่มสัดส่วนหุ้นกลุ่ม ข. ที่ยังไม่ขึ้นตามนัก หรืออาจจะขายหุ้นที่ขึ้นมากๆ บางส่วน แล้วนำเงินไปซื้อพันธบัตรหรือสินทรัพย์เสี่ยงต่ำอื่นๆ เพิ่ม เพื่อให้สัดส่วนใกล้เคียงกับเดิมมากที่สุด
ฝึกวินัยและจิตใจในการลงทุน
การฝึกวินัยที่สำคัญที่สุด คือ การควบคุมอารมณ์ตัวเอง ไม่ใจร้อนเข้าไปซื้อขายหุ้นตามข่าวลือหรือการเคลื่อนไหวของราคาแบบวันต่อวัน แต่ต้องการยึดมั่นอยู่กับแผนการลงทุนที่วางไว้ ไม่หวั่นไหวไปกับความผันผวนในระยะสั้น
สรุป
นอกจากแนวทางการจัดการความเสี่ยง ในการลงทุนหุ้นแล้วต้องรู้ด้วยว่า การรู้จักยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง ก็เป็นอีกวินัยหนึ่งที่สำคัญ เมื่อเรารู้ว่าประเมินหุ้นบางตัวผิดไป ก็กล้าที่จะขายมันทิ้งเพื่อไปหาโอกาสที่ดีกว่า ไม่ดื้อดึงถือต่อไปเรื่อยๆ เพียงเพราะไม่อยากยอมรับว่าเลือกผิด
การลงทุนหุ้นนั้น ไม่มีใครรอดพ้นจากความผิดพลาดได้ แต่สิ่งที่ทำให้นักลงทุนที่ดีแตกต่างจากนักลงทุนทั่วไป คือ การเรียนรู้ที่จะลดความผิดพลาดลงเรื่อยๆ และมีวินัยในการรับมือกับความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ จนกลายเป็นกระบวนการที่ยั่งยืนในระยะยาว
สิ่งสำคัญที่นักลงทุนทุกคนต้องตระหนักอยู่เสมอ คือการมีความเข้าใจที่ถ่องแท้ต่อธรรมชาติของการลงทุน เผชิญหน้ากับความเสี่ยงในรูปแบบต่างๆ อย่างตรงไปตรงมา และกำหนดระดับความเสี่ยงที่เหมาะกับตัวเอง ก่อนที่จะเลือกเครื่องมือในการจัดการความเสี่ยงเหล่านั้น