แนวโน้มตลาดหุ้นในปี 2024 : มุมมองและการวิเคราะห์

แนวโน้มการคาดการณ์ทิศทางและการเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นในปี 2567 (ค.ศ. 2024) โดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและปัจจัยต่างๆ ทั้งในเชิงมหภาค (Macro) และจุลภาค (Micro) ที่คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น เช่น

  • ปัจจัยทางเศรษฐกิจ:GDP, เงินเฟ้อ, อัตราดอกเบี้ย, อัตราการว่างงาน, ดุลการค้า, ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งสะท้อนภาพรวมของเศรษฐกิจและมีผลต่อการตัดสินใจลงทุนและกำไรของบริษัท
  • ปัจจัยทางการเมืองและนโยบาย: ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สงครามการค้า, การเลือกตั้ง, ความไม่สงบทางการเมือง, นโยบายการเงินและการคลัง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการคาดการณ์ทิศทางเศรษฐกิจ
  • สถานการณ์วิกฤตและความไม่แน่นอน: เช่น สงคราม, ภัยธรรมชาติ, การแพร่ระบาดของโรค ซึ่งสร้างความผันผวนและความเสี่ยงให้กับตลาดหุ้น
  • ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน: กำไร, ยอดขาย, ส่วนแบ่งตลาด, ความสามารถในการแข่งขัน, ปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจ เป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญของมูลค่าหุ้นและราคาตลาด
  • ความเชื่อมั่นและพฤติกรรมนักลงทุน: การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์และบรรยากาศการลงทุนในตลาดสามารถสร้างแรงซื้อหรือแรงขายและผลักดันให้ตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง

การคาดการณ์ตลาดหุ้นมักมีความไม่แน่นอนและคลาดเคลื่อนได้เสมอ ดังนั้น นักลงทุนจึงควรติดตามข่าวสารและปรับมุมมองอยู่เสมอ พร้อมทั้งกระจายความเสี่ยงและลงทุนอย่างมีวินัย ไม่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ และไม่ลงทุนด้วยเงินที่เกินตัว แม้จะมีมุมมองที่ดีต่อตลาดหุ้นในระยะยาวก็ตาม

แนวโน้มทิศทางเศรษฐกิจโลก ปี 2024

ทิศทางเศรษฐกิจและสงครามการค้ายังไม่มีทิศทางที่ดีขึ้น ตลาดหุ้นโลกอาจยังคงมีความผันผวนสูงและให้ผลตอบแทนต่ำ

มีปัจจัยบวกที่อาจหนุนตลาดหุ้นโลก ได้แก่

  • การคลายความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ: หากอัตราเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องและเป็นไปตามที่ตลาดคาดหวัง ธนาคารกลางหลายแห่งอาจผ่อนคลายการปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
  • ตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาด: หากข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ เช่น GDP, การจ้างงาน, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ออกมาดีเกินคาด โดยเฉพาะในประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ ยุโรป ญี่ปุ่น ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนและหนุนตลาดหุ้น
  • สงครามรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลายลง: หากความตึงเครียดในภูมิภาคยุโรปผ่อนคลายลง และราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะพลังงานลดลง จะช่วยบรรเทาแรงกดดันเงินเฟ้อและหนุนความเชื่อมั่นในการลงทุน
  • ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง: ถ้าบริษัทจดทะเบียนสามารถรักษาอัตรากำไรและสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นได้ดีท่ามกลางภาวะท้าทาย ก็จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินเข้าสู่ตลาดหุ้นและหนุนการปรับตัวขึ้น

แนวโน้มตลาดหุ้น ในทิศทางเศรษฐกิจไทย ปี 2024

แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2567 มีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าปี 2566 โดยคาดว่าจะเกิด Cyclical Bottom เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เริ่มกลับมาผ่อนคลายนโยบายการเงิน (Fed Pivot) และกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น

ปัจจัยหนุนที่สำคัญ ได้แก่

  • เศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น การลดราคาพลังงาน, มาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพ/หนี้สินเกษตรกร, การยกเว้นวีซ่าท่องเที่ยว, มาตรการ Digital Wallet และ e-Refund
  • การลดภาษีให้กับนักลงทุนใน TESG (Total Environmental, Social and Governance), มาตรการส่งเสริม EV, มาตรการตรึงหนี้ครัวเรือน และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะเห็นผลกระทบเชิงบวกอย่างเต็มที่ในปี 2567
  • คะแนนเศรษฐกิจไทยที่ดีขึ้น และข้อมูลสถิติในอดีตของ SET Index ที่มักจะให้ผลตอบแทนเชิงบวกหลังปีที่ให้ผลตอบแทนติดลบ ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตาม ได้แก่

  • ตลาดมีการคาดหวังว่าเฟดจะเริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2567 จากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว หรือเมื่อเกิดปัญหาในระบบการเงิน โดยมีโอกาสถึง 80% ที่จะเกิดภาวะ Hard Landing ในรอบวัฏจักรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 15 ครั้งที่ผ่านมา
  • ความเสี่ยงที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในปี 2567 จะต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว, การบริโภคที่อ่อนแอ, จำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ฟื้นตัวช้า และความล้มเหลวของรัฐบาลในการผลักดันนโยบายต่างๆ
  • ความไม่แน่นอนทางการเมืองในไทย ที่อาจจะทวีความร้อนแรงมากขึ้น หากรัฐบาลไม่สามารถผลักดันนโยบายสำคัญ เช่น Digital Wallet ได้ หรือหากมีการต่อรองระหว่างพรรคร่วมรัฐบาล ภายหลังจากที่วาระของวุฒิสมาชิกจะสิ้นสุดลงในวันที่ 11 พฤษภาคม 2567
  • ภาวะการเงินที่ตึงตัวมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนในการกู้ยืมของบริษัทเพิ่มสูงขึ้น เพิ่มความเสี่ยงในการ Rollover หนี้ และอาจทำให้แผนการระดมทุนผ่านตลาดหุ้น (IPO) ถูกเลื่อนออกไป
  • ความเสี่ยงจากเหตุการณ์ความไม่แน่นอนในต่างประเทศ (Event Risks) ที่อาจส่งผลเชิงลบ เช่น การเลือกตั้งในหลายประเทศ, ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ-จีน, รัสเซีย-ยูเครน และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง เป็นต้น

“ด้านแนวโน้มการเคลื่อนไหวของ SET Index พบว่าในปี 2566 ดัชนีให้ผลตอบแทนต่ำกว่าดัชนี MSCI All-Country World Index (MSCI ACWI) ถึง 25% จากแนวโน้มกำไรบริษัทจดทะเบียนที่ค่อนข้างอ่อนแอ”

  • นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทยในปี 2567 จากปัจจัยบวกที่กล่าวถึงข้างต้น และราคาหุ้นไทยที่ปรับตัวลงมาค่อนข้างมากแล้ว โดยมีเป้าหมาย SET Index ที่ 1,470 จุด ณ สิ้นปี 2567 
  • ส่วนรายชื่อหุ้นที่แนะนำให้ลงทุนในปีนี้ ได้แก่ BCH, GPSC, ADVANC, TIDLOR, CPALL, GLOBAL, MAJOR, ITC, CPN, AMATA, CK และ TOP

สำหรับทิศทางเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2567 (2024) รวมถึงอุตสาหกรรมที่น่าสนใจในตลาดหุ้นไทยปีนี้ ข้อมูลที่ให้มายังไม่มีรายละเอียดเพียงพอที่จะนำมาสรุปและวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจน 

  • จากบริบทของข้อมูลที่กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยและปัจจัยต่างๆ คาดว่าเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกในปี 2567 น่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปี 2566 จากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ 
  • ส่วนอุตสาหกรรมที่น่าจะได้รับประโยชน์และมีแนวโน้มดีในปีนี้ อาจเป็นกลุ่มพลังงานทดแทน, เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, บริการทางการเงิน, ค้าปลีก, สื่อและบันเทิง, อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เป็นต้น

อุตสาหกรรมที่น่าสนใจในตลาดหุ้น ปี 2024

  • กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย (Luxury Goods) – เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด ผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อจะกลับมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าฟุ่มเฟือยที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ เช่น แบรนด์แฟชั่น, เครื่องประดับ, นาฬิกา ฯลฯ ทำให้หุ้นในกลุ่มนี้มีแนวโน้มเติบโตได้ดี 
  • กลุ่มการแพทย์และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Healthcare & MedTech) – ได้รับความสนใจอย่างมากช่วงหลังการแพร่ระบาด ทั้งบริษัทยา อุปกรณ์การแพทย์ การวิจัยพัฒนา รวมถึงการให้บริการสุขภาพผ่านระบบดิจิทัล ซึ่งคาดว่าจะเติบโตได้ดีจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการปรับตัวของผู้บริโภค 
  • กลุ่มพลังงานทางเลือกและพลังงานสะอาด (Renewable & Clean Energy) – เทรนด์ที่ได้รับความสนใจทั่วโลก ทั้งเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ ลม ชีวมวล รถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ หุ้นในกลุ่มนี้มีโอกาสเติบโตในระยะยาวจากกระแสความยั่งยืนและการปรับตัวของผู้บริโภครวมถึงภาครัฐ 
  • บริษัทที่มีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง (Growth Stock) – อาจเป็นบริษัทขนาดกลางที่มีแนวโน้มเติบโตสูงต่อเนื่องทั้งรายได้และกำไร มีความสามารถในการแข่งขัน ปรับตัวได้ดีท่ามกลางความท้าทายต่างๆ หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่มีโอกาสก้าวกระโดด 
  • กลุ่มโลจิสติกส์และคลังสินค้า – ได้อานิสงส์จาก E-Commerce ที่เติบโตแรงต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการด้านขนส่ง, คลังสินค้า, ระบบห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มสูงขึ้น บริษัทที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมจึงมีโอกาสเติบโตได้ดี 
  • กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม – จากเทรนด์สุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ อาหารแปรรูป รวมถึงอาหารสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น จึงเป็นอีกกลุ่มที่น่าสนใจ โดยเฉพาะบริษัทที่มีศักยภาพในการเติบโตและพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ 
  • กลุ่มเทคโนโลยี – การพัฒนาเทคโนโลยีก้าวกระโดดทุกวงการ ทั้งในกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์, ปัญญาประดิษฐ์ (AI), คลาวด์คอมพิวติ้ง, Big Data, IoT ฯลฯ เป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตา มีโอกาสเติบโตสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน 
  • บริษัทที่ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาวะสังคมสูงวัย เช่น ธุรกิจที่พักอาศัย การท่องเที่ยว บริการสำหรับผู้สูงอายุ ผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์หรือสุขภาพ เป็นต้น เพราะแนวโน้มสังคมสูงอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 
  • กลุ่มการศึกษา – ยังคงมีการปรับตัวต่อเทคโนโลยีเช่น EdTech, Online Course หรือระบบผสมผสานระหว่างห้องเรียนกับทางไกล รวมถึงบริษัทที่ให้บริการสื่อการศึกษาหรือที่เกี่ยวเนื่องกับการเรียนรู้ตลอดชีพ 
  • REIT หรือกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ – เป็นทางเลือกสำหรับนักลงทุนที่ต้องการกระจายความเสี่ยง มีสินทรัพย์อ้างอิงชัดเจนและจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ โดยเฉพาะ REIT ที่ลงทุนในอาคารสำนักงาน คลังสินค้า ศูนย์ข้อมูล หรือที่พักอาศัยในทำเลศักยภาพ