ปัจจัยสำคัญที่มีแนวโน้มจะทำให้ราคาทองคำพุ่งในปี 2024 มีดังนี้
1.ความตึงเครียดและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ
1.1 ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อไป ส่งผลให้เกิดวิกฤตด้านพลังงาน อาหาร และความมั่นคงทางเศรษฐกิจในภูมิภาคยุโรป
1.2 การปะทะกันระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ซึ่งทำให้ตะวันออกกลางกลายเป็นจุดความขัดแย้งที่รุนแรงและรอวันปะทุขึ้นได้ตลอดเวลา
1.3 การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันในเดือนมกราคม 2024 ซึ่งถือเป็นประเด็นที่ทั่วโลกจับตามอง เพราะอาจนำไปสู่การเผชิญหน้ากันของสหรัฐฯ และจีนมากขึ้น ในกรณีที่ผู้ชนะเป็นพรรคที่สนับสนุนเอกราชของไต้หวัน
1.4 ภาวะความไม่สงบและความไม่แน่นอนทางการเมืองระหว่างประเทศโดยรวม ซึ่งจะยิ่งผลักดันให้นักลงทุนแสวงหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงและปกป้องมูลค่าของพอร์ตการลงทุน
2.แนวโน้มการอ่อนค่าลงของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
2.1 การดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ด้วยการอัดฉีดสภาพคล่องและตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับต่ำ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่อ่อนแอจากผลของการแพร่ระบาดใหญ่
2.2 ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีโอกาสที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ถึง 4-5 ครั้งในปี 2024 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่น ๆ
2.3 เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำซึ่งอ้างอิงกับสกุลดอลลาร์จะดูถูกลงสำหรับนักลงทุนที่ใช้สกุลเงินอื่น ส่งผลให้อุปสงค์ในการซื้อทองคำเพิ่มขึ้น เป็นแรงหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตามไปด้วย
3.การเพิ่มการสะสมทองคำเข้าทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก
3.1 ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกและความเสี่ยงในการถือครองสกุลเงินหลักอย่างดอลลาร์ ทำให้หลายประเทศเร่งสะสมทองคำเข้าเป็นทุนสำรองเพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มสภาพคล่อง
3.2 กรณีรัสเซียถูกคว่ำบาตรจนไม่สามารถเข้าถึงเงินสำรองในต่างประเทศได้ กลายเป็นบทเรียนสำคัญที่ทำให้หลายประเทศตระหนักถึงความเสี่ยงในการพึ่งพิงสกุลเงินดอลลาร์มากเกินไป
3.3 การสำรวจของสภาทองคำโลกชี้ว่า ในรอบ 1 ปีข้างหน้า 24% ของธนาคารกลางทั่วโลกมีแผนที่จะเพิ่มการถือครองทองคำเข้าทุนสำรอง คิดเป็นปริมาณราว 750 ตันต่อปี
3.4 อุปสงค์ในการสะสมทองคำที่เพิ่มขึ้นอย่างมากจากฝั่งธนาคารกลาง จะเป็นปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำให้ทะยานขึ้นได้แม้ในช่วงที่เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
4.แนวโน้มความต้องการทองคำในจีนที่อาจถดถอยลง
4.1 เศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มชะลอตัวลงในปี 2024 จากผลของนโยบาย Zero-Covid ที่เข้มงวด ซึ่งฉุดรั้งการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค
4.2 ในฐานะประเทศผู้บริโภคทองคำรายใหญ่ที่สุดของโลก เศรษฐกิจที่ชะลอตัวของจีนอาจทำให้ความต้องการทองคำในตลาดจีนลดลงตามไปด้วย จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง
4.3 นับตั้งแต่ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ตัวเลขการถือครองทองคำของกองทุน ETF ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 1,200 ตันสู่ระดับ 800 ตัน สะท้อนมุมมองเชิงลบต่อแนวโน้มราคาทองคำของนักลงทุนสถาบัน
4.4 หากปัจจัยความต้องการทองคำของจีนและแนวโน้มการลงทุนในกองทุน ETF ฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาด ก็อาจจะเป็นปัจจัยที่กดดันราคาทองคำในระยะข้างหน้าได้เช่นกัน
สรุปปัจจัย
แม้ในภาพรวมนักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยพื้นฐานในปี 2024 ยังคงเอื้อต่อการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ และมีโอกาสที่ราคาอาจจะทำจุดสูงสุดใหม่ได้ในระดับ 2,150 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 33,200-34,800 บาทต่อบาททอง หรือสามารถไปต่อได้มากกว่านั้น ซึ่ง ณ วันนี้ ราคาก็ขึ้นแปถึง 40,000 บาทแล้ว
จากปัจจัยความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การอ่อนค่าของดอลลาร์ และการซื้อสะสมของธนาคารกลาง แต่ก็ต้องจับตาปัจจัยความไม่แน่นอนบางประการที่อาจฉุดรั้งราคาทองคำ ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจจีนที่มีแนวโน้มชะลอตัว ตลอดจนการถือครองทองคำในตราสาร ETF ที่ลดลง ซึ่งจะบ่งชี้ถึงทิศทางความต้องการที่แท้จริงในตลาดทองคำ
ดังนั้นนักลงทุนจึงควรวิเคราะห์และติดตามปัจจัยต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ก่อนตัดสินใจปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ในแต่ละช่วง
สรุปปัจจัยบวกและปัจจัยลบในปี 2024
ปัจจัยบวก | ปัจจัยลบ |
---|---|
1. ความตึงเครียดและความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ | 1. การประนีประนอมกันชั่วคราวของชาติมหาอำนาจ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ร่วมกัน |
2. แนวโน้มการอ่อนค่าลงของดอลลาร์สหรัฐฯ จากการดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนลง | 2. การฟื้นตัวของค่าเงินดอลลาร์ หากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวได้เร็วกว่าคาด ทำให้ Fed ชะลอหรือชะงัก |
3. การเพิ่มการสะสมทองคำเข้าทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก | 3. การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน |
4. ภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง | 4. แนวโน้มการลงทุนในกองทุน ETF ทองคำที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา |
5. การเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงเชิงระบบ (Systemic Risk) ในระบบการเงินโลก | 5. ความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะยังคงดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวด |
6. การเปลี่ยนผ่านของโครงสร้างประชากรโลก | 6. ความก้าวหน้าของสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) |
7. สัญญาณของวัฏจักรตลาดหมีในตลาดหุ้นสหรัฐฯ | 7. ความเสี่ยงด้านอุปทานจากการที่เหมืองทองคำหลายแห่งได้เลื่อนหรือลดการผลิตลงในช่วงที่ผ่านมา |
8. การเร่งตัวขึ้นของเทรนด์การลงทุนแบบยั่งยืน (Sustainable Investing) | 8. ความก้าวหน้าของการพัฒนาวัคซีนและยารักษาโควิด-19 |
สิ่งสำคัญที่ควรทำความเข้าใจ ก่อนการลงทุนทอง
ประเภทของการลงทุนในทองคำ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ
- ทองคำแท่ง ซึ่ง 1 บาททองจะมีน้ำหนัก 15.244 กรัม เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว เพราะไม่มีค่ากำเหน็จและค่าเสื่อมราคาน้อยกว่าทองรูปพรรณ
- ทองรูปพรรณ คือทองที่ผ่านการแปรรูปเป็นเครื่องประดับแล้ว เช่น สร้อย แหวน กำไล โดย 1 บาททองจะมีน้ำหนัก 15.16 กรัม ข้อดีคือสามารถเลือกซื้อตามน้ำหนักที่ต้องการและนำมาใช้ประดับได้ แต่มีข้อเสียคือมีค่ากำเหน็จและค่าเสื่อมราคาที่สูงกว่า
ปัจจัยเรื่องค่ากำเหน็จและค่าเสื่อมราคา
- ค่ากำเหน็จ คือค่าแรงในการทำทองรูปพรรณ ซึ่งแต่ละร้านจะคิดแตกต่างกันไปตามความยากง่ายของลวดลาย ถือเป็นต้นทุนที่ต้องคิดรวมเข้าไปด้วย
- ค่าเสื่อมราคา คือมูลค่าที่ลดลงจากการเก็บรักษาทองไม่ดีพอ ส่งผลต่อราคาขายทองออกไป ดังนั้นควรศึกษาวิธีการดูแลรักษาทองด้วย
ทางเลือกในการลงทุนทองคำ สำหรับคนที่ไม่มีเงินก้อนใหญ่หรือไม่ต้องการเสี่ยงในการถือครองทองคำเอง สามารถเลือกลงทุนได้ใน
- Gold Future คือการทำสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า ลงทุนผ่านนายหน้าซื้อขายตราสารอนุพันธ์ ไม่ต้องจ่ายเงินเต็มจำนวน มีโอกาสทำกำไรสูง และมีกลไกควบคุมความเสี่ยงจากการกำหนดเงินประกันขั้นต่ำ เหมาะสำหรับมือใหม่
- กองทุนรวมทองคำ ที่นำเงินไปลงทุนในทองแทนเรา ซึ่งสามารถซื้อขายได้สะดวก ปลอดภัย ไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญหาย
ทำการศึกษาเปรียบเทียบอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจ
เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำ ผู้ลงทุนควรวิเคราะห์และประเมินความเหมาะสมกับเป้าหมาย ระยะเวลาลงทุน และความเสี่ยงที่รับได้ของตัวเอง ควรกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท โดยทองคำอาจเป็นสินทรัพย์หนึ่งในพอร์ตการลงทุนเพื่อบริหารความเสี่ยง
ก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไข ผลตอบแทน และความเสี่ยงให้ถ่องแท้ ผลการดำเนินงานในอดีตไม่ได้การันตีผลในอนาคต และต้องคำนึงถึงความเสี่ยงจากปัจจัยต่าง ๆ เช่นความผันผวนของตลาด อัตราแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียม รวมถึงเวลาทำการของแต่ละตลาดที่อาจมีความแตกต่างกันด้วย
ตัวอย่าง บทวิเคราะห์ราคาทองคำ ณ ปัจจุบัน
ประจำวันที่ 09 เมษายน 2567
ราคาทองคำยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีแรงเทขายทำกำไรเข้ามาบ้างเล็กน้อย โดยปัจจัยสำคัญที่หนุนราคาทองคำ ได้แก่
ความกังวลเกี่ยวกับปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์
- การออกมาเตือนของนางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ว่าเธอไม่ตัดความเป็นไปได้ในการบังคับใช้มาตรการใด ๆ ต่อการส่งออกพลังงานสะอาดของจีน เช่นการจัดเก็บภาษี ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงมีอยู่
- ความขัดแย้งทางทหารและปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจผลักดันให้อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 8% หรือสูงกว่านั้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ตามการเตือนของนายเจมี ไดมอน ซีอีโอจากเจพีมอร์แกน เชส เมื่อวันที่ 8 เม.ย. ซึ่งอาจเพิ่มความต้องการถือครองทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
ทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
- ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดมีแนวโน้มจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้ ซึ่งการลดลงของอัตราดอกเบี้ยมักจะส่งผลบวกต่อราคาทองคำ เนื่องจากต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองซึ่งไม่ได้ให้ผลตอบแทนเป็นดอกเบี้ยนั้นลดลง
การปรับเพิ่มประมาณการราคาทองคำจากสถาบันการเงิน
- นักวิเคราะห์จากซิตี้แบงก์ได้ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายทองคำในอีก 6-12 เดือนข้างหน้าสู่ระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในปีนี้ สะท้อนมุมมองเชิงบวกที่มีต่อแนวโน้มตลาดทองคำ
กระแสการสะสมทองคำเข้าทุนสำรองของธนาคารกลางทั่วโลก
- ธนาคารกลางจีนได้ซื้อทองคำเพิ่มอีก 160,000 ออนซ์เข้าสู่ทุนสำรองในเดือนมีนาคม 2567 ขณะที่ธนาคารกลางของประเทศอื่น ๆ อย่างเช่น ตุรกี อินเดีย คาซัคสถาน และอีกหลายประเทศในยุโรปตะวันออก ก็ได้เพิ่มการถือครองทองคำในปีนี้เช่นกัน
- ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความต้องการสะสมทองคำในฐานะสินทรัพย์สำรองที่เพิ่มสูงขึ้นท่ามกลางความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก
สรุปปัจจัย
จากปัจจัยดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ภาพรวมตลาดทองคำยังคงอยู่ในทิศทางขาขึ้น โดยดูเหมือนจะไม่ได้ถูกกดดันจากทิศทางดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ มากนัก แม้จะมีการเทขายทำกำไรเข้ามาบ้าง แต่แรงซื้อก็ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดฟิวเจอร์สและตลาดแลกเปลี่ยนทางกายภาพ
ดังจะเห็นได้จากปริมาณการถือครองทองคำของกองทุน SPDR เพิ่มขึ้น 1.44 ตันในวันก่อนหน้า หลังจากขายออกไป 6.04 ตันในรอบก่อน ส่งผลให้ปัจจุบันกองทุนถือครองทองคำทั้งหมดอยู่ที่ 827.85 ตัน
ด้วยสถานการณ์ดังกล่าว จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ราคาทองคำจะสามารถทะลุผ่านแนวต้านขึ้นไปได้อีก โดยล่าสุดไม่ปรากฏว่ามีแนวต้านระดับสำคัญใดที่กดดันราคาไว้ ขณะที่แนวรับสำคัญน่าจะอยู่ที่ระดับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือราว 40,000 บาทต่อบาท
กลยุทธ์การลงทุน
แนะนำให้เข้าซื้อที่ระดับแนวรับ 2,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ 40,000 บาทต่อบาท โดยมีลุ้นที่ราคาจะสามารถดีดตัวขึ้นไปทดสอบระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ได้อีกครั้ง จากแนวโน้มความต้องการที่แข็งแกร่ง ผนวกกับอุปทานที่มีจำกัด ซึ่งจะหนุนให้ราคาทองคำทำสถิติสูงสุดใหม่ได้อย่างต่อเนื่องในปีนี้